ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ลีลาชีวิตที่มีมากที่สุดก็คือลีลาของการเอาตัวรอด เพื่อหนีโชคชะตาอันโหดร้าย ตอนที่ผมรู้จักนวลอนงค์ ผมมีอายุ 14 ย่าง 15 ปี ที่จำได้แม่นเพราะผมกำลังแตกเนื้อหนุ่ม ส่วนนวลอนงค์น่าจะมีอายุราว ๆ 40 ปี ที่ไม่ทราบอายุแน่ชัดเพราะไม่มีใครกล้าถามอายุจริง ๆ ของเธอ ก็ได้แต่คาดเดาเอาเองตามสภาพรูปร่างหน้าตา ซึ่งบางคนก็บอกว่าน่าจะมีอายุน้อยกว่านั้น แต่ที่ดูโทรมเหมือนว่ามีอายุมากนั้นก็เป็นด้วยอาชีพของเธอ ที่บางคนบอกว่าเป็นสาวโรงน้ำชา แต่บางคนก็บอกว่าเป็นหมอนวดขายบริการ แม้ว่าเธอจะมีอาชีพอะไร แต่คนที่รู้จักเธอก็สงสารเธอจับใจ เพราะนั่นคือวิถีแห่งการมีชีวิตรอดของเธอ ช่วงนั้นผมไปอาศัยอยู่บ้านเช่ากับน้าในซอยแถวประตูน้ำ ซอยนี้ต้องเดินเข้าทางข้างวัดปทุมวนาราม ด้านที่ติดกับโรงเรียนของกรุงเทพมหานครในชื่อเดีวกันกับวัด ที่ปัจจุบันถูกรื้อสร้างเป็นสยามพารากอนนั้นแล้ว ซอยดังกล่าวกว้างแค่หนึ่งช่วงแขน เป็นแนวรั้วสังกะสีบ้าง ไม้ระแนงเก่า ๆ บ้าง ต้นกระถิน ต้นมะขามเทศ หรือพุ่มไม้อื่น ๆ บ้าง ยาวลึกเข้าไปสัก 1 กิโลเมตร จนเกือบถึงสะพานเฉลิมโลก ตรงที่ปัจจุบันนี้เป็นเซ็นทรัลเวิร์ลนั่นแหละ โดยมีคลองแสนแสบแนบขนานไปกับชุมชนแออัดแห่งนี้ ที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นบ้านเช่าที่สร้างจากการบุกรุกชายคลองแสนแสบมาหลายสิบปีแล้วนั่นเอง จึงมีสภาพค่อนข้างทรุดโทรมและแออัดมาก อย่างบริเวณห้องเช่าที่ผมอยู่กับน้า ในพื้นที่ขนาด 8 คูณ 10 เมตร ก็มีห้องเช่าอยู่ถึง 5 ห้อง โดยตัวเรือนแรกเป็นเรือน 2 ชั้น มีขนาดแค่ 4 คูณ 6 เมตร แบ่งให้เช่าเป็น 3 ห้อง มีห้องน้ำที่ใช้ร่วมกัน 1 ห้อง แล้วมีการต่อปีกตัวเรือนนี้ออกไปทางด้านข้าง ที่เหลือพื้นที่จนไปติดรั้วของบ้านอีกหลังราว 2 เมตรครึ่ง สร้างเป็น 2 ชั้นอีกเช่นกัน ทำให้เพิ่มห้องเช่าได้อีก 2 ห้อง แล้วมีห้องน้ำอยู่ตรงรั้วด้านหน้าอีก 1 ห้องเพื่อใช้ร่วมกัน ซึ่งห้องที่ผมอยู่ ๆ บนชั้นบนของส่วนขยายนี้ ที่ต้องอยู่กัน 3 คน คือมีน้ากับสามี ซึ่งทั้งคู่ทำงานเป็นลูกจ้างส่วนราชการที่โรงพยาบาลตำรวจ ที่อยู่ตรงข้ามวัดปทุมวนารามนั้น ส่วนชั้นล่างก็เป็นห้องของนวลอนงค์ ที่อยู่ลำพังตัวคนเดียว ที่ดินแถวนี้เป็นของพวก “เจ้านาย” พอมีคนมารุกล้ำแนวชายคลอง บางส่วนก็ล้ำเข้ามาในที่ดินของเจ้านายนั้นด้วย แต่เจ้านายก็ให้อาศัยอยู่มานับสิบปี จนมีการต่อเติมแออัดเป็น “สลัม” ขึ้นในที่สุด ซึ่ง “อาแปะ” ก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่หลังสงคราโลกครั้งที่สอง จนมีลูกหลายคน บางคนก็แต่งงานออกไปอยู่ที่อื่น บางคนก็มีเมียแล้วก็ทิ้งหลานไว้ให้เลี้ยง เหลือไว้แต่ลูกสาวคนสุดท้องที่ไม่มีสามี ผมเรียกตามอาหมวยหลานของอาแปะว่า “อาอี๊” อาอี๊ขายของจำพวกขนมต้มร้อน ๆ ต่าง ๆ เป็นต้นว่า มัน ลูกเดือย ถั่วเขียว และสาคู ซึ่งออกไปขายที่เยาวราชแต่เช้าตรู่ แล้วกลับมาในตอนบ่าย ๆ โดยมีอาหมวยที่อยู่ในวัยสาวแล้วเป็นลูกมือ ผมเคยไปเดินดูเห็นคนเดินไปเดินมาเยอะมาก และคนจีนชอบกินขนมต้มร้อน ๆ กันมาก ทำให้ขนมขายดีและหมดภายในเวลาครึ่งวัน และนวลอนงค์ก็ทำงานอยู่ในละแวกนั้น ทำให้ได้รู้จักกับอาอี๊ จนได้มาขอเช่าห้องอยู่ด้วยมา 2 - 3 ปีแล้ว ก่อนที่ผมจะมาอยู่กับน้า ซึ่งก็มาอยู่แถวนั้นกับสามีได้หลายปีแล้วเช่นกัน อาแปะและอาหมวยชอบมาคุยกับผม ผมเลยได้รู้เรื่องของนวลอนงค์จากคนทั้งสอง โดยเฉพาะอาหมวยที่เข้านอกออกในห้องของนวลอนงค์อยู่เป็นประจำ เพราะตอนบ่ายที่อาหมวยกลับมาจากช่วยอาอี๊ขายของ ก็จะมาดูนวลอนงค์แต่งหน้าแต่งตัวเพื่อออกไป “ทำงาน” ที่จะต้องออกจากห้องประมาณบ่ายสามโมงทุกวัน บางทีก็เห็นอาหมวยออกมาพร้อมกับเครื่องสำอางพอกหน้า ปากแดง แก้มแดง ขนตาเช้งกระเด๊ะ พออาอี๊ถามก็บอกว่าไปลองแต่งหน้ากับนวลอนงค์ เผื่อว่าจะได้สวยเหมือนกับสาว ๆ คนอื่น แต่ก็ถูกอาอี๊ดุอยู่บ่อย ๆ ว่าอยากทำงานนอน ๆ แบ ๆ แบบนั้นหรือ ซึ่งอาหมวยก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไร จึงยังคงแต่งหน้าออกมาให้เห็นอยู่นาน ๆ ครั้ง ส่วนอาแปะก็คงจะได้ข้อมูลมาจากทั้งอาหมวยกับอาอี๊ จนดูเหมือนว่าจะมีข้อมูลมากกว่า เพราะอาแปะมักจะมี “ข้อวิจารณ์” ที่ฟังดูลึกซึ้ง ตามประสาคนที่ผ่านโลกมามาก แม้จะมีข้อมูลไม่มาก โดยไม่ได้คุยกับนวลอนงค์ตรง ๆ แต่ก็สามารถตีความแผ่ขยายออกไปได้กว้างขวาง อาแปะเป็นคนที่ฟันธงว่า นวลอนงค์เป็น “คนดี” แม้จะมีอาชีพไม่ดี อาแปะบอกว่านวลอนงค์เป็น “ผู้ดีตกยาก” แม่ของนวลอนงค์เป็นลูกท่านหลานเธอ อยู่บ้านแถวถนนสามเสน แต่เกิดไปได้เสียกับบ่าวในบ้าน แม่ถูกที่บ้านบังคับให้เลิกกับพ่อ แต่แม่บูชาในรักแท้ จึงออกไปเช่าบ้านอยู่แถวบางโพ พ่อไปทำงานเป็นคนงานโรงเลื่อย ส่วนแม่ที่มีฝีมือด้านเย็บปักถักร้อยก็รับจ้างปะชุนเสื้อผ้า และทำกับข้าวไปขายที่โรงเรื่อย นวลอนงค์ไม่ได้เรียนสูงมากนัก เพราะพอจบชั้น ป.4 พ่อก็ตาย แม่ตรอมใจมากจนป่วยกระเสาะกระแสะ จนอีก 2 ปีต่อมาก็ตายตามพ่อไป นวลอนงค์กำลังจะขึ้น ป.7 ก็เรียนไม่จบ เถ้าแก่โรงเลื่อยบอกว่าเป็นผู้หญิงไม่ต้องเรียนสูง ให้ออกจากโรงเรียนมาช่วยเลี้ยงลูกของเถ้าแก่ จนนวลอนงค์แตกเนื้อสาวก็ถูกเถ้าแก่ปล้ำเอาเป็นเมีย พอเถ้าแก่เนี้ยรู้เข้าก็ถูกเฉดหัวออกจากบ้าน ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนแถวฝั่งธน แต่ไปหางานอะไรทำก็ไม่ได้ เพราะไม่มีคุณวุฒิ จึงไปช่วยญาติของเพื่อนขายลาบส้มตำแถวใกล้บ้าน แล้วก็ได้มาเจอ “มารในร่างเทพบุตร” ที่นั่น ในสังคมนี้มี “เทพบุตรชั่ว” อีกมาก เพียงแต่ว่าใครจะเป็นคนรับกรรมชั่วดังกล่าวเป็นคนต่อไป