เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยได้ก้าวทะลุ 11,000 คนต่อวัน และจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เคยก้าวทะลุ 140 คนต่อวันไปแล้ว (ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2564) ซึ่งหากดูการเพิ่มขึ้นของอัตราผู้เสียชีวิตต่อวันจะเห็นได้ชัดเจนว่าการเพิ่มขึ้นนั้น เป็นแบบก้าวกระโดด (exponential growth) เราสามารถเห็นได้ว่าอัตราผู้เสียชีวิตต่อวันได้เพิ่มขึ้น 2 เท่าภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห้ สิ่งนี้เป็นสัญญาณอันตรายว่าการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยในครั้งนี้มีความรุนแรงกว้าครั้งก้อนๆ มาก ในขณะนี้คณะผู้เขียนเชื่อว่าทุกภาคส่วน ได้มีความตระหนักอย่างแท้จริงถึงความรุนแรงของการระบาดในครั้งนี้และพยายามที่จะช่วยกันลดการระบาด “เท่าที่กำลังของตนหรือฝ่ายตน” จะสามารถทำได้ (ในบริบทของแต่ละคน) คนไทยทุกคนทุกฝ้ายควรร่วมแรงร่วมใจ ใช้พลังเชิงบวกในการแก้ป้ญหา โดยรัฐต้องเป็นศูนย์กลางในการกำหนดนโยบายและนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างเร่งด่วน และที่สำคัญเป็นอย้างยิ่งต้องสื่อสารให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ล็อกดาวน์ยิ่งเข้มข้น ยิ่งเร็ว ยิ่งดี งานวิจัยของ Kavakli (2020) พบว่า มีหลายประเทศในโลกที่เริ่มใช้การล็อกดาวน์ในระดับที่มีความเข้มข้นน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นเมื่อสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น โดยสาเหตุหลัก เป็นเพราะประเทศเหล่านี้ไม่อยากให้การล็อกดาวน์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ(ที่บอบช้ำอยู่แล้ว) จึงหวังว่าการใช้มาตรการในระดับเบานั้น อาจจะเพียงพอและสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจที่อาจจะรุนแรงเกินความจำเป็นได้ และไม่อยากให้ประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการทั้งเล็กและใหญ่ได้รับความลำบากและไม่พอใจกับการบริหารประเทศ อย่างไรก็ดี การตัดสินใจจับจ้ายใช้สอยของผู้บริโภคนั้น ได้ถูกกระทบจากความกลัวในสถานการณ์ของการระบาดอยู่แล้ว ซึ่งบทความของกองทุนการเงินระหว้างประเทศ (IMF) (2020) แสดงให้เห็นว่า การล็อกดาวน์แบบเข้มข้นและเข้มงวดดีกว่าการล็อกดาวน์แบบเบาๆและไม่เข้มงวด ทั้งในด้านการควบคุมการระบาดและในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากการล็อกดาวน์แบบเบาๆ ไม่เข้มงวดทำให้ระดับ จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเองเพราะยังมีความเสี่ยงด้านสุขภาพอยู่ ในขณะที่การล็อกดาวน์แบบเข้มงวดจะใช้เวลาควบคุมโรคที่สั้นกว่าโดยจะมีต้นทุนทาง เศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากกรณีไม่เข้มงวดเพียงเล็กน้อย แต่จะทำให้การติดเชื้อลดลงอย่างมากและเร็ว จะนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วขึ้น ล็อกดาวน์จะดี ต์องมีมาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน ก่อนที่จะมีการประกาศล็อกดาวน์ รัฐต้องมีมาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน เพื่อให้การล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพสูงสุด ประชาชนปฏิบัติตามได้และพร้อมให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการในด้านสภาพคล่องของประชาชน รวมทั้งผู้ประกอบการทั้งเล็กและใหญ่ ซึ่งได้ทำในหลายๆ ประเทศ อาทิ ประเทศเยอรมนี ประเทศออสเตรเลีย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศฝรั่งเศส o มาตรการพักหนี้โดยไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่มสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการที่รวดเร็ว และไม่มีขั้นตอนซับซ้อน o เสริมสภาพคล่องให้ประชาชนในด้านป้จจัย 4 o พักชำระการจ่ายภาษีของประชาชนและผู้ประกอบการ และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถจ่ายภาษีของปีที่ผ่านมาแทนในปีถัดไป o ช่วยผู้ประกอบที่ได้รับผลกระทบจ่ายค่าแรงลูกจ้างในอัตราที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่รอดและไม่ต้องให้พนักงานออก o เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการทุกขนาดที่ธุรกิจได้รับผลกระทบ เช่น ธุรกิจ โรงแรม ธุรกิจการบิน และธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ o อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ สามารถเข้าร่วมโครงการแก้วิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐ (เช่น โครงการแปลงโรงแรมเป็น Alternative State Quarantine) ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส เพื่อเป็นรายได้ต่อลมหายใจให้ผู้ประกอบการและพนักงาน อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับกระบวนการที่รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน และโปร่งใส รวมถึงมีหน่วยงานที่รับผิดชอบชัดเจนซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย สื่อสารดีมีชัยไปกว์าครึ่ง องค์ประกอบหนึ่งที่หลายๆประเทศที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ชัดเจน คือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ หากอ้างอิงงานวิจัยของ Hyland-Wood และคณะ (2021) ที่ได้ทำการศึกษาและรวบรวมการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในภาวะวิกฤตของรัฐบาล โดยสามารถสรุปเป็นประเด็นหลักๆ ดังนี้ 1.สื่อสารอย่างชัดเจนและครบถ้วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และทำให้ประชาชนไม่เกิดความสับสน เช่น สื่อสารว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อให้ความสนับสนุนแก่ประชาชนที่จะตอบสนองต่อนโยบายต่างๆ ของรัฐ ในทิศทางที่ชัดเจนและไม่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะข้อมูลที่ออกมาจากหน่วยงานของรัฐต้องเป็นข้อมูลที่ตรงกัน ถูกต้อง ชัดเจน และปราศจากความสับสน 2.สื่อสารข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ เช่น หากเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการแพทย์และมีผลกระทบในวงกว้าง ให้นักวิทยาศาสตร้หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือและเชี่ยวชาญเข้าร่วมแถลง 3.สื่อสารอย่างมีความเห็นอกเห็นใจ จริงใจและซื่อสัตย์ เช่น แสดงออกถึงความเข้าใจถึงป้ญหาและสื่อสารออกไปอย่างเห็นอกเห็นใจ และสื่อสารด้วยคำพูดเชิงบวก 4.สื่อสารถึงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้นความไม่แน่นอนในสิ่งต่างๆ อาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และก็ควรสื่อสารออกไป เพื่อสร้างความคาดหวังที่ถูกต้อง 5.สื่อสารโดยตระหนักถึงพื้นฐานและความเข้าใจของผู้ฟ้ง ซึ่งจะสามารถช้วยให้นโยบายต่างๆ ของรัฐดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ควรสื่อสารโดยยกตัวอย้างแบบง่ายๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิด 6.สื่อสารโดยตระหนักถึงบรรทัดฐานทางสังคมและความหลากหลายและแตกต่างกันของกลุ่มคนในสังคม เช่น คำนึงถึง แรงงานต่างด้าว ผู้สูงอายุ หรือเด็กและเยาวชน 7.สื่อสารเชิงรุกต่อข้อมูลเท็จ เช่น ต้องออกมาให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และดำเนินคดีกับผู้ให้ข้อมูลเท็จอย่างเด็ดขาด ในด้านการสื่อสาร รัฐต้องตระหนักถึงความสำคัญของการสื่อสารที่ชัดเจนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกนโยบายใดๆจะต้องมีมาตรการรองรับที่ชัดเจนต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ บทความของ IMF (2020) พบว่าการที่ประชาชนรับทราบถึงภาวะวิกฤติ จะช่วยให้ประชาชนตระหนักและเพิ่มความระมัดระวังตนเองมากยิ่งขึ้น ลดการเคลื่อนที่และให้ความร่วมมือกับมาตรการต่างๆ มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดการระบาด ดังนั้น การนำเสนอข่าวที่เป็นความจริง แม้ว่าจะทำให้เกิดความหวาดกลัว แต่ความหวาดกลัวที่เกิดจากความจริง เป็นสิ่งที่ดี ไม่ควรห้าม สุดท้ายนี้ ฝ่ายที่มีหน้าที่หาวัคซีน ควรเร่งหาวัคซีนเพื่อให้ประชาชนคนไทยได้วัคซีนอย่างทั่วถึง มีวัคซีนดีกว้าไม่มี ไม่ว้าจะเป็นวัคซีนแบบไหนก็ควรฉีดไปก่อนเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต อ์างอิง Hyland-Wood, B., Gardner, J., Leask, J. et al. Toward effective government communication strategies in the era of COVID-19. Humanit Soc Sci Commun 8, 30 (2021). https://doi.org/10.1057/s41599-020-00701-w Caselli, F., Grigoli, F., Lian, W., & Sandri, D. (2020). "Chapter 2 The Great Lockdown: Dissecting the Economic Effects". In World Economic Outlook, October 2020. USA: International Monetary Fund. Retrieved Jul 19, 2021, from https://www.elibrary.imf.org/view/books/081/29296-9781513556055-en/ch002... บทความนี้เขียนโดย รศ.ดร.พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส ผศ.ดร.ชนวีร้ สุภัทรเกียรติ ผศ.ดร.ภัทเรก ศรโชติ ผศ.ดร.ป้ยะชาติ ภิรมย้สวัสดิ์ คณาจารย้สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร้แห้งจุฬาลงกรณ้มหาวิทยาลัย