ระบุเป็นสัญญาจองซื้อระหว่างรัฐ-เอกชน เปิดเผยความลับเสี่ยงผิดสัญญา พร้อมเผยแผนจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ กรณีบูสเตอร์โดส ให้ตามกลุ่มเป้าหมาย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ต้องได้ก่อน ขณะที่แผนการฉีดวัคซีนของไทยในเดือนต่อไป จะต้องฉีดได้อย่างน้อย 10 ล้านโดส จึงจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนมาเพิ่มเติม
วันที่ 20 ก.ค. 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า วันนี้ได้มีการลงนามในสัญญาจัดหาวัคซีน mRNA จำนวน 20 ล้านโดส ระหว่างกรมควบคุมโรค กับบริษัทไฟเซอร์ ประเทศไทย ในสัญญาเป็นการทำงานร่วมกันมา โดยจะเป็นการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส โดยกำหนดการตามแผนที่วางไว้ คือ ส่งมอบในไตรมาสที่ 4 ส่วนอีกจำนวน 1.5 ล้านโดส ที่สหรัฐอเมริกาบริจาคให้ประเทศไทยจะมาถึงไทยปลายเดือนก.ค.นี้
นอกจากนี้อธิบดีกรมควบคุมโรค ยังได้กางไทม์ไลน์การจัดหาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ตั้งแต่ก่อนเริ่มการลงนามระหว่างกรมควบคุมโรคกับ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จํากัด และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ที่มีการลงนามเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 พ.ย.2563 เป็นการทำสัญญาระหว่างภาครัฐกับเอกชน ในสัญญามีการระบุว่า ผู้ที่ลงนามในสัญญาจะต้องไม่เปิดเผยความลับในสัญญา แต่หากต้องเปิดเผยสัญญาจะต้องได้รับความยินยอมจากทั้ง 3 ฝ่าย มิเช่นนั้นจะเป็นการทำผิดสัญญา นำไปสู่การยกเลิกสัญญา โดยเบื้องต้นในสัญญาการส่งมอบ ซึ่งยังไม่มีวัคซีนจึงไม่มีการระบุจำนวนการส่งมอบที่ชัดเจนต่อเดือน แต่จะเป็นการเจรจากันเดือนต่อเดือน ในส่วนจำนวนวัคซีนที่จองตามในสัญญาคือ 61 ล้านโดส การส่งมอบก็มีเอกสารชัดเจนว่ากระทรวงสาธารณสุขต้องการวัคซีนที่จะฉีดในระยะต่อไปจำนวน 10 ล้านโดส ซึ่งขณะนี้ทางบริษัทแอสตร้าฯ ได้แจ้งว่าอย่างน้อยจะส่งให้เดือนละ 5 ล้านโดสเป็นอย่างต่ำ หากกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นก็อาจจะส่งให้เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจาในครั้งต่อไป
นพ.โอภาส กล่าวว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคจากสหรัฐอเมริกา 1.5 ล้านโดส จะมาถึงไทยปลายเดือนนี้ โดยจะเริ่มต้นฉีดได้ช่วงเดือนส.ค. ในการจัดสรรฉีดวัคซีนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขและความเห็นชอบจาก ศบค. กำหนดดังนี้ 1.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด หรือผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกันที่ฉีดไปแล้ว 2 เข็ม จะมีการกระตุ้นเข็ม 3 หรือ บูสเตอร์โดส 2.กลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ระบาด 3. ชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ระบาด เป็นต้น
