นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า มาตรการเยียวยาวงเงิน 42,000 ล้านบาท ที่ออกมาช่วยเยียวยาบรรเทาความเสียหาย ได้บางส่วนเท่านั้น ภาครัฐควรต้องมีมาตรการเสริมเพิ่มเติมอีกถึงจะช่วยประชาชนได้ เช่น มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสนอให้ภาครัฐผ่อนคลายกฎระเบียบ ให้สถาบันทางการเงินใช้ดุลพินิจในการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น จากหลายมิติ ไม่ใช่พิจารณาจากเครดิตบูโร หรือเป็นหนี้เอ็นพีแอลเพียงอย่างเดียว เพื่อให้เอสเอ็มอีอีกจำนวนมากเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ รวมทั้งการพักชำระหนี้ เช่น การพักหนี้ การลดดอกเบี้ย หรือการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ในกลุ่มต่างๆแบบที่รัฐบาลได้ช่วยเหลือเมื่อปีที่แล้ว เพื่อช่วยให้เกิดการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงนี้ไปก่อนได้
ขณะเดียวกันควรเพิ่มวงเงินมาตรการคนละครึ่ง จาก 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบทันทีถึง 386,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนที่เพิ่มขึ้นมานี้อยากให้เติมในช่วงไตรมาส 3 นี้เลย และขอให้ใช้เงินส่วนนี้ลากยาวได้ถึงไตรมาส 4 เนื่องจากเม็ดเงินที่ใส่มาจะประคองให้ประชาชน ภาคธุรกิจและกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่ขาดรายได้จากมาตรการคุมเข้มใน 10 จังหวัดที่มีการระบาดมาก ประเมินว่า งบเยียวยาครั้งนี้ ส่งผลต่อจีดีพีเพียง 0.1-0.3% ขณะที่ความเสียหายของการยกระดับมาตรการครั้งนี้ส่งผลเสียหายมาถึง 0.7-1.0% ของจีดีพี หรือประมาณ 1-2 แสนล้านบาท รวมทั้งมาตรการช่วยเสริมผู้ประกอบการอย่างจริงจัง เช่น มาตรการโค- เพย์เมนต์ ให้ภาครัฐจ่ายค่าแรงส่วนหนึ่งในอาชีพอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรักษาการจ้างงานให้ได้ในระยะนี้ เพราะทุกคนเดือดร้อนเช่นกัน รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มเติม เช่น ภาษีป้าย และการขยายเวลาลดการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไป
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า มาตรการแจกเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ ครม.เห็นชอบเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนได้ในระดับหนึ่ง แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุดในขณะนี้คือ การแยกผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ออกจากสมาชิกคนในบ้านที่ไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อ ท่ามกลางมาตรการที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ให้คนอยู่ในบ้าน และยังคงยืนยันข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนกระจายการฉีดให้ประชาชนอย่างเพียงพอ และต้องให้ทั่วถึง 70% ของประชากรทั้งประเทศ
อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.ประเมินว่า การล็อกดาวน์ 10 จังหวัดรอบนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท แต่มั่นใจว่า หากรัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดและผู้ ติดเชื้อลงได้ไปอยู่ในระดับหลักร้อยรายต่อวันเศรษฐกิจก็น่าจะเดินหน้าต่อไปได้