ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ต้นๆปี 2020 ภายหลังการแพร่ระบาดที่เมืองอู่ฮั่น เมื่อปลายปี 19 เพียงไม่กี่เดือน
นั่นเป็นเพราะเราไม่ตื่นตัวที่จะปิดประเทศ เพราะกลัวจะเสียรายได้จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน
ครั้นการระบาดในรอบที่ 1 ทำท่าจะคุมไม่อยู่ เราก็สั่งล็อกดาวน์แบบเหวี่ยงแห และไม่มีมาตรการที่จะเยียวยาเศรษฐกิจอย่างเพียงพอ และทันต่อสถานการณ์
ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจทรุดตัว เราก็หันมาพยายามฟื้นฟูเยียวยาด้วยมาตรการที่ผิดฝาผิดตัว ยุ่งยากซับซ้อน เช่น โครงการคนละครึ่ง เราชนะ ฯลฯ ซึ่งมีปริมาณเม็ดเงินน้อยมาก แต่การที่เศรษฐกิจทรุดตัวอย่างรวดเร็ว รายได้ของรัฐบาลพลันหดหายไปด้วย จึงนำมาสู่การกู้เงินรอบแรก 1.1 ล้านล้าน แต่ก็อีกนั่นแหละไปแก้ไม่ตรงจุด เพราะพยายามไปกระตุ้นการบริโภคด้วยการแจกเงิน แทนการพยุงการจ้างงาน และช่วยเหลือเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SME หรือการกระจายการจ้างงานไปยังชนบทที่จะเป็นฐานรองรับคนตกงาน
เงินกู้ที่ถูกใช้ไปจึงเกือบสูญเปล่า นอกจากนั้นยังเอาเงินไปให้สภาพัฒน์ฯ พิจารณาให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่ฝ่ายราชการส่งมา จึงกลายเป็นไปปัดฝุ่นเอาโครงการเก่าๆขึ้นมาให้งบสนับสนุน ซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์ของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ครั้นเกิดโรคระบาดอีกจนคุมไม่ไหว เราก็คิดจะปิดล็อกกันอีก เพียงแต่เปลี่ยนชื่อใหม่ว่าใช้มาตรการเข้มเป็นจุดๆ ซึ่งมันก็คือการล็อกดาวน์นั่นเอง
เป็นอย่างนี้ ซ้ำไปมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่อยากจะไปเปิดแผลมากเพราะหลายคนทนฟังไม่ได้
ส่วนเรื่องการบริหารจัดการ จัดหาและฉีดวัคซีนก็ดูจะมีปัญหาคอขวดแทบทุกด้าน และมานั่งถกเถียงกันเรื่องวัคซีนไม่รู้จบสิ้น
ด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือการสื่อสารกับประชาชนก็เป็นไปอย่างสับสน เปลี่ยนไปมา หรือขัดแย้งกันเอง รวมกับข่าวลือ ข่าวปลอม จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลดลงฮวบฮาบ
คนเราพอไม่เชื่อถือกันแล้ว ต่อให้ทำถูกก็ถูกด้อยค่า ยิ่งทำผิดยิ่งไปกันใหญ่
มาถึงจุดนี้ก็ยังคงเดินผิดทางด้วยการปิดล็อก และเอาระบบสาธารณสุขของชาติมารองรับสถานการณ์แพร่ระบาด ทั้งๆที่เราบอบช้ำและไม่พร้อม
ดังนั้นในครั้งนี้ขอนำเสนอแนวคิดเพื่อจะได้เดินให้ถูกที่ถูกทางดังต่อไปนี้
1.เรายังขาดข้อมูลที่เป็นจริงต่อภาวการณ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะเราไปสร้างคอขวดในการตรวจหาเชื้อโรคจากประชาชน เราจึงทราบข้อมูลห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก
ดังนั้นแทนการกำหนดให้สถานพยาบาลเป็นผู้ตรวจสอบในระบบ PCR และชุดตรวจแบบเร่งด่วนที่แม้ให้ผลไม่แม่นยำเท่า แต่สามารถขีดวงผู้ติดเชื้อได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด คือกระจายชุดตรวจเร่งด่วนเหล่านี้ไปตามร้านขายยา หรือแจกจ่ายให้อสม.ไปแจกจ่ายแก่ประชาชน ซึ่งจะทำให้เราทราบสถานการณ์ของการระบาดได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด
2.ทำการคัดแยกผู้ป่วยหนัก เข้าในระบบสาธารณสุข ส่วนผู้ป่วยน้อยหรือไม่มีอาการก็ให้คำแนะนำและจัดยาสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นยาฝรั่ง ยาไทย พร้อมคำแนะนำและให้กักตัวที่บ้าน โดยรัฐให้การดูแลตรวจเยี่ยม ซึ่งในส่วนนี้ได้มีการดำเนินการไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่เป็นระบบและการประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึง ถ้าไม่อาจกักตัวที่บ้านได้ ก็ให้จัดหาพื้นที่สำรองต้อนรับ
3.ประสานงานกับจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ดำเนินนโยบายไปในแนวทางเดียวกัน แต่ให้มีความยืดหยุ่นตามภาวการณ์ของแต่ละจังหวัด
4.หากพบการระบาดในโรงงาน ไม่ควรสั่งปิดเพราะจะทำให้ไปซ้ำเติมปัญหาการว่างงาน แต่ให้แยกผู้ป่วยไปรักษาที่เหลือให้ทำงานต่อไป ทั้งนี้ต้องให้การเยียวยาสำหรับผู้ป่วยให้ทั่วถึง แต่คนทำงานก็ให้ใช้เครื่องตรวจเร่งด่วนตรวจตนเองเป็นระยะ
หลายเรื่องที่นำเสนอไปนี้ ความจริงรัฐบาลทำอยู่แล้วบางส่วน แต่ขาดการประสานงานอย่างเป็นระบบ จึงทำให้เกิดภาระต่อบุคลากรทางการแพทย์จนจะล่มสลาย อนึ่งเรายังมีหน่วยทหารและกำลังพลที่ควรจะต้องรับภาระในการช่วยเหลือ บรรเทาการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะนี่มันคือสงครามดีๆนี่เอง ทหารจึงต้องเข้ามามีบทบาท
5.ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ควรใช้งบประมาณแบบทุ่มเทเพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจ เหมือนเครื่องบินกำลังจะร่อนลง หากต้องการให้บินขึ้นต้องเร่งเครื่องเต็มที่ ไม่งั้นเครื่อง Stall คือหมดกำลังแล้วมันจะตก
การกู้เงินไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่การใช้เงินให้ถูกจุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั่นสำคัญกว่า เพราะถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว สัดส่วนของหนี้สินมันก็จะลดลงไปเอง
ลองมาดูว่าสถาบันการเงิน JP MORGAN เขาวิเคราะห์ว่าอย่างไร (อ้างข่าวรอยเตอร์เมื่อวันที่ 8 ก.ค.21) ประเทศที่จะได้รับผลกระทบอย่างมากและเป็นเวลานาน จากการระบาดของโควิด-19 คือ ฟิลิปปินส์ เปรู โคลอมเบีย แอฟริกาใต้ และประเทศไทย โดยเฉพาะผลกระทบจากการกลายพันธุ์ของโควิด-19 มาเป็นสายพันธุ์เดลต้า ทั้งนี้เพราะอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าเชื้อโรคสายพันธุ์นี้จะติดง่าย แต่ไม่รุนแรงกลับมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างเป็นนัยสำคัญ
แม้ว่าบางประเทศจะพยายามเร่งฉีดวัคซีน แต่อัตราการเร่งไม่ทันต่ออัตราการแพร่ระบาด จึงนำไปสู่การปิดล็อกในภาคส่วนต่างๆของเศรษฐกิจ
หลายประเทศที่ต้องจมอยู่กับการปิด-เปิด เป็นเวลานานอย่าง 4 ประเทศที่กล่าวมาแล้ว จะต้องใช้เวลานานมากกว่าประเทศที่จัดการควบคุมโควิด-19 ได้ในเวลาที่สั้นกว่า อย่างสิงคโปร์ ตุรกี อินเดียและบราซิล ซึ่งเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจบ้างแล้ว
ในขณะเดียวกันการทรุดตัวลงทางเศรษฐกิจที่มีระยะเวลายาวนาน ก็จะมีผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต และเปราะบางต่อการแพร่ระบาด
ดังนั้นการสร้างองค์ความรู้ว่าเราคงไม่อาจขจัดโควิด-19 ออกไปจากชีวิตประจำวันของเราได้ เราก็ต้องปรับตัวที่จะอยู่กับมันและดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางที่เหมาะสม โดยให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด
ตัวเลขคนติดเชื้อเป็นศูนย์จึงไม่ใช่คำตอบที่เราจะรอคอย แต่การตรวจพบจำนวนคนติดเชื้อให้มากที่สุด ด้วยการใช้เครื่องตรวจแบบเร่งด่วน จะทำให้เราได้ข้อมูลที่เป็นจริง หรือใกล้ความจริงมากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้การวางแผนควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสนอของผู้เขียนนี้ความจริงไม่ใช่ของใหม่ และไม่ใช่ความลึกลับอะไร เพราะมีนักวิชาการหลายท่านนำเสนอกันมาตลอด
อยู่ที่ว่าผู้บริหารจะยอมรับความเป็นจริงและดำเนินการปกป้องประชาชนจากภัยโควิด โดยไม่มีวาระแฝงเร้นใดๆเราก็คงจะฟันฝ่าภัยอันตรายนี้ไปได้ด้วยกัน
มิฉะนั้นปลายปีนี้เราอาจต้องเผชิญกับสงครามรูปแบบใหม่ๆอย่างสงครามไซเบอร์ที่จะมีผลกระทบอย่างสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ ซึ่งยังคงอ่อนแออยู่ ถึงตอนนั้นไม่ใช่ตัวใครตัวมัน แต่จะตายหมู่ทีเดียว เพราะเรายังรบกับโควิดไม่จบ