ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ชีวิตพี่เรณูไม่ใช่แค่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มีคนยกมาให้ทั้งกระถางเลย พี่เรณูเป็นคนเรียนเก่ง นอกจะมีหน้าตาที่สวยงามและแต่งตัวสวย ๆ อยู่เสมอแล้ว ยังมีมันสมองยอดเยี่ยม สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนมาโดยตลอด พวกเราชอบที่จะฟังเรื่องต่าง ๆ ที่พี่เรณูนำมาเล่าให้ฟัง พี่เรณูไม่ได้สอนแต่หนังสือที่มาช่วยติวให้พวกเรา แต่จะมีเรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้พวกเราฟังอยู่เป็นประจำ เช่น เรื่องวงดนตรีใหม่ ๆ เพลงใหม่ ๆ หรือพวกหนังที่ฉายในโรงที่พวกเราไม่มีโอกาสได้ดู แต่พี่เรณูได้ไปดูมา ก็จะเก็บเอารายละเอียดต่าง ๆ มาเล่าให้พวกเราฟังอย่างน่าสนใจ ทำให้พวกเรา “ติด” พี่เรณูมาก วันไหนไม่ได้เห็นหน้าพี่เรณู พวกเราจะมีอาการกระวนกระวาย เหมือนขาดสิ่งที่จำเป็นในชีวิต แต่พอพี่เรณูมาพบพวกเรา ๆ ก็จะกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ในปี 2512 มีเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในโลก คือการส่งยานอพอลโล 11 พามนุษย์อวกาศขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ พวกเราก็ได้ทราบเรื่องนี้จากพี่เรณู โดยพี่เรณูดูจะตื่นเต้นกว่าพวกเรามาก พอดีวันนั้นเป็นวันหยุด พี่เรณูเอาทีวีออกมาตั้งที่ลานข้างบ้านตั้งแต่เช้า พร้อมขนมนมเนยและน้ำแดงโรยดอกมะลิอย่างเพียบพร้อม สาย ๆ วันนั้นพวกเราก็เข้าไปเต็มลานนั้นกว่า 10 คน แรก ๆ พวกเราจะขอดูการ์ตูน เพราะการถ่ายทอดสดมีแต่การบรรยายเรื่องกิจการอวกาศของสหรัฐอเมริกา ที่แข่งขันกันมากับรัสเซียเมื่อ 10 กว่าปีก่อนนั้น ซึ่งแม้ว่าพวกเราบางคนจะเกิดแล้ว แต่ก็ยังแบเบาะไม่รู้เรื่องราวอะไร แต่พี่เรณูที่มีอายุมากว่าพวกเรา 4-5 ปี บอกว่าเธอเริ่มรู้เรื่องแล้ว และก็ชอบเรื่องอวกาศมาก เธอใฝ่ฝันว่าจะไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ซึ่ง “คุณลุง” ที่หมายถึงท่านนายพลที่รับเลี้ยงดูครอบครัวของพี่เรณูอยู่นี้ บอกว่าจะพยายามหาทางให้ไปเรียนต่อ เธอจึงตั้งใจเรียนและทำคะแนนให้ดีที่สุด ผมยังจำภาพนีล อาร์มสตอง ก้าวเท้าลงเหยียบพื้นดวงจันทร์ ที่เรียกว่า “ก้าวแรกของมวลมนุษยชาติที่ดวงดาวนอกโลก” นั้นได้ พี่เรณูบรรยายแถมพกให้เราอีกมากมายถึงสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ในอวกาศ รวมทั้ง “มนุษย์ต่างดาว” ที่พวกเราให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะพี่เรณูได้พูดเชื่อมโยงมาถึงหนังทีวีที่พวกเราติดกันงอมแงม จำพวกเรื่องหุ่นเบอะ จัมโบ้เอ และไอ้มดแดง (2 เรื่องแรกยังเป็นหนังขาวดำ แต่พอถึงเรื่องไอ้มดแดงก็เริ่มเป็นหนังสีแล้ว แต่ทีวีที่พวกเราดูก็ยังเป็นขาวดำอยู่) ที่พี่เรณูบอกว่านั่นแหละคือการต่อสู้กับพวกมนุษย์ต่างดาว วิธีการเล่าเรื่องของพี่เรณูทำให้พวกเราอยากเป็น “ฮีโร่” อยากต่อสู้กับพวกมารร้ายที่มาจากนอกโลก และพิทักษ์ปกป้องโลกให้ปลอดภัย ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้พี่เรณูก็คือ “ไอดอล” ของพวกเรานั่นเอง พี่เรณูเป็นคนที่ทำให้พวกเราสนใจ “เกมกระดาษ” จำพวกงูตกบันไดและเกมเศรษฐี ซึ่งพี่เรณูได้ขอเงินคุณลุงไปซื้อมา เนื่องจากสมัยนั้นเกมพวกนี้ยังไม่ได้เล่นกันแพร่หลาย จะมีเล่นก็แต่ในหมู่ลูกผู้ลากมากดี เพราะเป็นเกมที่มาจากต่างประเทศ ต้องใช้เงินซื้อในราคาค่อนข้างสูง ความจริงพวกเรานั้นแอบเล่นไพ่กันอยู่ก่อนแล้ว ส่วนมากก็เป็นไพ่กบดำกบแดงและไพ่คู่ ซึ่งก็ไม่ได้เล่นเป็นการพนัน แต่เล่นเขกเข่ากันเพื่อความสนุกสนาน แต่พอมีเกมกระดาษพวกนี้เข้ามาก็ทำให้พวกเราเปลี่ยนความสนใจ พวกเราจึงรู้สึกชื่นชมพี่เรณูมาก และรู้สึกเหมือนว่าพวกเราก็พลอยได้มีชีวิตที่โก้หรูหรือทันสมัยมากไปกว่าเด็ก ๆ ในรุ่นเดียวกันนั้นด้วย ปีต่อมาพี่เรณูก็เรียนจบมัธยมต้น และได้ไปเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของนักเรียนเก่ง ๆ ทั่วประเทศแถวปทุมวัน ส่วนผมก็ได้เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ แถวคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งผมได้ออกมาอยู่กับน้าที่เช่าบ้านอยู่แถวประตูน้ำ พร้อมกับมีข่าวว่าจะมีการรื้ออาคารสงเคราะห์ห้วยขวางทำเป็นแฟลต ครอบครัวของเพื่อน ๆ และพี่เรณูที่ผมสนิทสนมก็จำเป็นต้องย้ายไปที่อื่น ผมทราบจากเพื่อนบางคนว่า ครอบครัวของพี่เรณูได้ย้ายไปอยู่บ้านแถวถนนเศรษฐศิริ ใกล้ ๆ สถานีรถไฟสามเสน เป็นบ้านหลังใหญ่บนที่ดินกว่าครึ่งไร่ เข้าใจว่าจะเป็นบ้านอีกหลังของ “คุณลุงนายพล” ที่ดูแลครอบครัวของพี่เรณูนั้นอยู่ และพี่เรณูก็ได้ใช้ชีวิตที่หรูหรายิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะมีบริวารรับใช้หลายคน ส่วนพี่เรณูพอเรียนจบมัธยมปลายก็เข้าเรียนที่คณะนิเทศศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ ๆ กันนั้น จนจบแล้วก็ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโท ผมได้เจอจินดาน้องสาวของพี่เรณูในอีกหลายปีต่อมา จินดาจบปริญญาโทแล้วเช่นกัน แต่จบในมหาวิทยาลัยภายในประเทศ แม้ว่าคุณลุงยินดีที่จะส่งให้เรียนแบบพี่เรณู ส่วนวิภาน้องสาวคนเล็กนั้นพอจบปริญญาตรี คุณลุงก็มาเสียชีวิตพอดี จึงไม่ได้ไปเรียนที่ต่างประเทศ โชคดีที่บ้านเป็นชื่อของคุณแม่ จึงพอรักษาหน้าตาไว้ได้ แต่ก็ต้องแบ่งขายเสียครึ่งหนึ่ง เพื่อเอาเงินมา “พยุงฐานะ” ของครอบครัว จินดาบอกว่าคุณแม่ “จมไม่ลง” ยิ่งผู้คนไปอุปโลกน์ว่าเป็น “คุณหญิง” คุณแม่ก็ยิ่งต้องใช้จ่ายเงินเพื่อให้อยู่ในฐานะนั้นให้ได้ โชคดีที่ไม่กี่ปีก่อนที่คุณลุงจะเสียชีวิต พี่เรณูได้แต่งงานกับนายทหารที่มีอนาคตไกล คาดว่าน่าจะได้เป็นนายพลคนสำคัญต่อไป พี่เรณูจึงเอาเงินมาช่วยคุณแม่เสริมชีวิตความเป็นอยู่อันที่เคยสุขสบายนั้น ไม่ให้ตกต่ำไปมากนัก พอพูดถึงพี่เรณู ผมก็ระลึกถึงวันเก่า ๆ ขึ้นมาทันที โดยเฉพาะความเอื้อเอ็นดูแก่พวกเราสมัยที่อยู่บ้านอาคารสงเคราะห์ที่ห้วยขวางนั้น ผมจึงถามว่าพี่เรณูทำอะไรมีความสุขสบายดีหรือไม่อย่างไร จินดาดูจะอึ้งไปพักหนึ่ง พร้อมใบหน้าที่ดูเศร้าลงไปในทันที ตอบด้วยเสียงเบา ๆ ตะกุกตะกักว่า พี่เรณูพอเรียนจบปริญญาตรี ก็ตั้งใจจะไป เรียนยังต่างประเทศอย่างที่ตั้งใจมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จึงไปขอคุณลุง แต่คุณลุงได้มีข้อแลกเปลี่ยนว่าขอให้แต่งงานกับหลานของคุณลุงก่อน ซึ่งก็คือนายทหารที่เป็นสามีอยู่ในปัจจุบัน พอผมถามย้ำว่าพี่เรณูมีความสุขดีอยู่หรือ จินดาก็สะอึกสะอื้นตอบว่า ก็สบายดี แต่สามีก็มีภรรยาน้อยที่ส่งเสียเลี้ยงดูอยู่อีก 2-3 คน ซึ่งพี่เรณูก็ไม่ได้ว่าอะไรสามี แต่ก็ได้มาระบายให้น้องสาวสองคนฟังอยู่บ่อย ๆ โดยไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้คุณแม่รู้ ว่าตนเองก็ต้องตกไปอยู่สภาพเดียวกันกับคุณแม่ เพียงแต่เป็นพี่เรณูได้มีตำแหน่งเป็นภรรยาหลวง และได้เป็นคุณหญิง “ตราตั้ง” จริง ๆ ไม่ได้เป็นคุณหญิง “ชาวบ้านตั้ง” อย่างคุณแม่ นี่เองชีวิตที่โรยด้วยกลีบกลุหลาบ แต่เป็นกุหลาบที่คนอื่นเอาโยนลงมาให้ !