นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ ได้เผยแพร่บทความ เรื่อง เผชิญโควิดระลอกใหม่ด้วย “ความคิดใหม่” ดังนี้ ... ความคิดใหม่ ที่ 1 : เราต้องรู้จักอยู่กับโควิด ถาม อะไรคือความคิดเก่า? ตอบ ต้องทำยอดผู้ติดเชื้อให้เป็นศูนย์ ใครติดเชื้อต้องทุ่มเทหาตัวมากักกันให้หมดรวมทั้งกลุ่มเสี่ยงด้วย พบเชื้อแล้วต้องอยู่โรงพยาบาล โรงพยาบาลที่ตรวจพบต้องรับรักษาเสมอ ผู้ติดเชื้อจะอยู่กับบ้านไม่ได้ วัคซีนต้องจัดหาและฉีดให้ราษฎรโดยรัฐเท่านั้น รัฐเท่านั้นที่จะจัดการตรวจเชื้อฯ ความคิดที่เห็นตนเองเป็นพ่อ ไม่ยอมให้ชาวบ้านเลือกอะไรได้เอง ทั้งวัคซีน ทั้งการตรวจ ทั้งการดูแลรักษาตนเอง จนปฏิเสธทั้งเสรีภาพชาวบ้านกับการทำงานของกลไกการตลาดทั้งหมดอย่างนี้ นี่แหละครับคือความคิดเก่า ที่ทำให้ประชาชนต้องกลายเป็นเสมือนไก่ในเล้าปิดที่มีโรคระบาดเต็มเล้า มีสัตว์แพทย์ คอยออกจอชี้แจงยอดติดเชื่อยอดตาย กับผู้จัดการเดินวนพูดนะจ๊ะๆๆ ไปวันๆเท่านั้น ถาม ความคิดใหม่เป็นอย่างไร? ความคิดเก่ามันฝืนทั้งความจริงและสิทธิพื้นฐาน คุณเห็นไหม ในที่สุดรัฐก็ต้อง ยอมขยายประตูนำเข้าวัคซีน ทั้งโดยภาคเอกชนและส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเครื่องมือตรวจเชื้อก็เริ่มขยายประคูแล้ว นี่คือทิศทางที่ถูก ผู้ติดเชื้อจะมีโอกาสตรวจตนเอง ดูแลตนเองได้ ถ้าไม่ไหวก็มีสถานที่แยกตัวชุมชนเป็นโรงเรียน เป็นวัดมาช่วยก็ได้ แต่ทิศทางนี้ ปัจจุบันก็ยังมีแรง กีดกั้นจากความคิดเก่าๆอยู่อีกมาก ในทางตะวันตกที่ประชาชนไม่ยอมเป็นไก่ เขาจะให้ชาวบ้านดูแลตนเองได้ การจัดหาและกระจายวัคซีนก็เปิดกว้างเข้าถึงง่ายกว่านี้ ตัวอย่างที่ชัดมากๆ ก็เช่นที่อเมริกา ถาม ก็คนป่วยล้นโรงพยาบาล ตายเป็นเบือแล้ว เขาถึงยอมให้คนรักษาตัวอยู่กับบ้านได้ไม่ใช่หรือ ตอบ ไม่ใช่ครับ เขาไม่ยอมกันแต่แรกโดยเห็นเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนเลย ชาวบ้านในเมืองเขา ตรวจเชื้อได้เร็ว ซื้อเครื่องตรวจจากร้านขายยาข้างบ้านก็ได้ พบเชื้อแล้วรัฐก็มีข่ายที่ปรึกษาและชุดยากับเครื่องมือดูแลตนเองให้ ไปไม่ไหวจริงๆจึงจะรับเข้านอนโรงพยาบาล ถาม เขาเถียงเรื่องชนิดวัคซีนกันเหมือนบ้านเราหรือไม่ ตอบ ให้เสรีภาพแล้ว คุณก็รับผิดชอบตนเอง เลือกเองไปตามที่คุณเชื่อ แล้วจะมาเถียงอะไรกันอีกให้หนวกหู จะฉีดหรือไม่ ยี่ห้ออะไร ฉีดกี่เข็ม ฉีดข้ามชนิดได้ไหม ก็เลือกเอาเอง แต่ถ้าไม่ยอมฉีด ไม่ยอมตรวจ แล้วขึ้นเครื่องบินไม่ได้ ก็ไม่รู้นะ ถาม บ้านเราเอาตัวอย่างเขามาปรับใช้ได้บ้างไหม ตอบ ยอดผู้ติดเชื้อไม่ต้องประกาศ บอกยอดผู้ป่วยในโรงพยาบาลกับความคับขันเท่านั้นก็พอ จะได้ตื่นตัวดูแลตัวเองกันมากๆ มาตรการการดูแลตนเองหรือโดยชุมชนนั้นเราต้องสนับสนุน พร้อมชุดยาและเครื่องมือจากรัฐ วัคซีนตัวไหน เครื่องมือตรวจเชื้อด้วยตนเองแบบไหนที่โลกเขาใช้กันแล้ว ต้องเอาเข้ามาได้โดยสะดวก อย.ต้องลดบทบาทลงมาดูที่ข้อมูลและการโฆษณาเท่านั้น ภาษีทุกชนิดที่เกี่ยวข้องต้องไม่เสีย พอไม่เสียแล้ว รัฐก็ประกาศเข้าคุมราคาไม่ให้ค้ากำไรเกินควรอีกที ถาม ในทางกฎหมายทำได้หรือครับ ตอบ นี่คือภาวะฉุกเฉิน จะมัวคิดเป็นขุนนางหวงอำนาจ เฝ้าแต่ละเมียดอำนาจไม่ได้ นายกฯต้องออกกฎหมายพิเศษ ตราพระราชกำหนดออกมาเลย จะไปรอ หมอขุนนาง หรือหมอวิชาการเสนอทำไม มันชัดเจนแล้วว่าเรื่องโควิดนี้ เราต้องคืนเสรีภาพให้ประชาชนดูแลตนเองได้ ทั้งโดยความเป็นจริงและหลักการ “ความคิดเก่า” ไม่ควรมีที่อยู่อีกต่อไป ถาม จีนเขาก็ใช้ใช้ความคิดเก่า เอาโควิดอยู่หมัดเลยไม่ใช่หรือ ตอบ ระบบพรรคเดียวของเขามันถี่ถ้วนจนสร้างความรับผิดชอบของทุกฝ่ายได้ บ้านเราไม่มีโครงสร้างเช่นนั้น อย่างบ้านเรานี้ ถ้าการนำไม่ดี คิดไม่เป็น หาความรับผิดชอบไม่ได้ มันก็ไปไหนไม่เป็นเลย ไม่เห็นหรือ อย่างเรื่องฉีดวัคซีนนี่ ที่ถูกแล้ว ต้องรับจดทะเบียนแสดงความประสงค์เป็นตำบลก่อน พอรัฐได้วัคซีนในมือแล้วจึงติดต่อให้มาฉีดตามตำบล ตามเวลาที่นัดหมายอีกที ไม่มีใครเขารับนัดกันทีเดียวทั้งประเทศเป็นสองสามเดือนอย่างนี้หรอกครับ ระบบนี้มันจัดการความเสี่ยงไม่ได้หรอก ถาม เขาไม่เห็นหรือครับ ว่าระบบจองวัคซีนของ “หมอพร้อม”มันใช้ไม่ได้ ตอบ มันเป็นเรื่องที่ต้องซักถามกันในสภาว่าทำไมต้องแทงม้าตัวเดียว แล้วให้จองทีเดียวแบบนั้น ลึกๆแล้วคุณต้องการเร่งสร้างภาพทางการเมืองให้ชาวบ้านสบายใจว่าได้วัคซีนแล้ว ใจเย็นได้แล้วๆว่า “วัคซีนกำลังจะหมุนไป” ใช่หรือไม่ คุณทำได้อย่างไร ทั้งๆที่เห็นความเสี่ยงอยู่เต็มหน้าอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องคอร์รัปชั่นครับ แต่เป็นเรื่องความไว้วางใจให้กุมชีวิตของเรา ความคิดใหม่ที่ 2 : การบริหารใหม่ ถาม ถ้า กระทรวงหรือหมอเก่าๆ คัดค้านทิศทาง ตามความคิดใหม่นี้ จะว่าอย่างไร ตอบ นายกฯต้องรู้ว่าตนคือผู้นำและผู้รับผิดชอบ ที่จริงนั้น ศบค.ยุบเสียก็ได้ แล้วตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีพร้อมคณะที่ปรึกษาในเรื่องโควิดนี้โดยเฉพาะ ทำงานเต็มเวลามีหน้าที่ขบคิดรวบรวมหาข้อมูล ความคิดจากฝ่ายต่างๆ มาสกัดเป็นทางเลือกทางนโยบาย ( Delivery Office ) ให้นายกฯตัดสินใจโดยอธิบายได้ให้ได้ เรื่องไหนสำคัญก็เข้า ครม. ถ้ารัฐมนตรีสาธารณะสุขขวางคลอง นายกฯก็ปลดเลย ไม่ใช่ไปรวบเอาอำนาจตามกฎหมายมาให้นายกฯสั่งการเองทั้งหมด แต่ข้อมูลกับงานมันกลับอยู่ที่กระทรวงอย่างนี้ มันผิดหลักจริงๆ ถาม แล้ว นายกฯทุกวันนี้ ทำอะไรอยู่ ตอบ ปัญหาอยู่ที่เขาไม่ยอมเป็น “ผู้นำ” ครับ เขาให้ ศบค.เป็นผู้พิจารณาและพูดให้เขาฟังเป็นเรื่องๆตามแต่วิกฤตมันจะพาไป งานการมันจึงตามหลังปัญหาตลอด ศบค.เองก็ตัดสินโดยการประชุมเป็นครั้งคราวตามประเด็นปัญหาที่ปรากฎเท่านั้น ทำงานอย่างนี้ มันสร้างการตัดสินใจไปในอนาคตด้วยข้อมูลและทางเลือก ที่ครบถ้วนกลั่นกรองแล้วไม่ได้ ถาม ทำไมการจัดหาวัคซีน ถึงเละตุ้มเป๊ะเช่นทุกวันนี้ ตอบ นายกฯอังกฤษ ตั้ง “คณะทำงานจัดหาวัคซีน” ตั้งแต่ได้ข่าวอูฮั่นแล้ว เขาเลือกจากคนที่เหมาะสมโดยครบถ้วนจริงๆ หมอขุนนางจากกระทรวงมีที่นั่งแค่ ๑ ที่นั่ง หมอวิชาการอาวุโสที่มั่นใจตนเองมาก แต่ความรู้น้อยไม่เท่าทันกับความก้าวหน้าในวงวิชาการที่เกี่ยวข้องเขาก็ไม่เอา ผู้ใหญ่ภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ในการหาแหล่งเวชภัณฑ์จากต่างประเทศ เขาก็เอาเข้ามานั่งด้วยจะได้ชี้ให้เห็นถึงการจัดการความเสี่ยง ไม่ใช่แทงม้าตัวเดียว แล้วเอาม้าขาเป๋มาทดแทนแบบบ้านเรา ถาม พูดมาถึงตรงนี้ก็หลายประเด็นมาก แล้วใครเขาจะฟังที่อาจารย์พูด ตอบ ผมพูดกับ “ประชาชน” ถาม แล้วไม่มีอะไรจะพูดกับนายกฯ เลยหรือครับ? ตอบ นายกฯเปรม ท่านก็มาจากระบบเลือกตั้งครึ่งใบเหมือนกัน แต่ท่านไม่มีอีโก้ และรู้ซึ้งถึงความรับผิดชอบว่าท่านต้องเป็นผู้นำ ที่สำคัญท่านรู้จักใช้ความรู้ ท่านรู้ว่าท่านไม่รู้อะไรบ้าง รู้ว่าความรู้อะไรที่ต้องใช้ ความรู้นั้นอยู่ที่ไหน ใครคือคนที่ต้องพึ่งพาให้มาช่วยบ้านเมือง แต่นายกฯปัจจุบัน ไม่ใช่คนอย่างนั้น และอุปนิสัยที่ฝังลึกอย่างนี้ มันเปลี่ยนกันไม่ได้ด้วย เป็นเรื่องส่วนบุคคลคุณอย่าไปเหมารวมว่าทหารใช้ไม่ได้ ถาม ท่านนายกฯเปรมไม่พูด “นะจ๊ะ” ด้วยนะครับ ตอบ นายกฯจะพูดจ้ะพูดจ๋าก็ไม่เป็นไร ถ้อยคำมันไมใช่ปัญหา แต่ท่าทีและพฤติการณ์ที่แสดงจนรู้ได้ว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความทุกข์ยากของประชาชนเลยนั้น ตรงนี้ต่างหาก ที่เป็นปัญหาด้านการสื่อสารของนายกฯคนนี้ ถาม พูดอย่างนี้ ต้องมีคนไม่เห็นด้วยกับอาจารย์มากทีเดียว ตอบ เราต้องสร้างระบบที่ทำให้ประโยชน์อันเป็นธรรมของราษฎรจำนวนมากที่สุดปรากฏขึ้นมาเป็นเสาหลักในบ้านเมือง ให้ได้ ตรงนี้คือกระบวนการทางการเมืองที่พวกเราราษฎรต้องช่วยกันคิดอ่านและแสดงออก จนเกิดการตัดสินใจ ของ “ประชาชน”ขึ้นมาได้ในที่สุด ผมยังเชื่อว่ากระบวนการนี้ยังเป็นไปได้ ราษฎรคนไหนจะรักหรือเกลียด ลุงตู่หรือโทนี่ทักษิณ หรือบ้าชูสามนิ้วไล่งับหางชาติตัวเองไปวันๆ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ผมไม่ใส่ใจ ผมใส่ใจกับกระบวนการของ “ประชาชน” เป็นส่วนรวม ถาม แล้วพวกที่เห็นว่า คนไทยมากเรื่อง จะเอาวัคซีนฟรี โยกโย้จะเอาโน่นเอานี่อยู่ตลอดเวลา สู่รู้ไปเสียทุกอย่าง ล่ะครับ ตอบ ในบทความนี้ ผมพยายามชี้บ่งว่าชาวบ้านกำลังถูกทำให้เป็นเสมือนไก่ในเล้าปิด ที่โรคกำลังระบาดจนร้องเจี๊ยวจ๊าวไปหมด ถ้าภาพนี้ถูกต้อง คุณจะมาตัดสินว่าไก่เล้านี้ไม่รู้จักพอ หนวกหู พูดมากไม่ได้ เราทุกคนล้วนเป็นไก่ในเล้าปิดนี้เหมือนกัน คุณอาจต่างกับเขาก็ตรงเป็นไก่ที่ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง ช่วยกันคิดใหม่จนเลิกเป็นไก่ แล้วเป็นเสรีชนร่วมกันเผชิญวิกฤตรักษาบ้านเมืองให้ลูกหลานตาดำๆต่อไปเถิด นะครับ