เปิดบทบาทการเป็นผู้ให้ของ เอ๋ นรินทร กับความตั้งใจที่จะขอทำดีที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ มอบอาหารกลางคืนให้บุคลากรทางการแพทย์ และ กู้ภัย เปิดชีวิตหลากหลายมุมของร็อกเกอร์สาวทรงพลัง เอ๋ นรินทร ณ บางช้าง ที่มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เผยถึงหลากข้อคิด หลายแง่มุมที่ใครหลายคนไม่เคยรู้ตั้งแต่ทำหน้าที่เป็นแม่บุญธรรมรับเด็กหลายร้อยชีวิตมาอุปการะเลี้ยงดูด้วยเงินส่วนตัวของตัวเอง และในมุมหวานที่เข้าครัวทำขนม พร้อมทั้งยังเข้าครัวเพื่อช่วยเหลือสังคมทำอาหารกล่องแจกในช่วงกลางคืนไปยังเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ ทีมกู้ภัย กับความตั้งใจที่จะขอทำดีที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ของ เอ๋ นรินทร ทำมากี่ปีแล้วขนม เอ๋ นรินทร : น่าจะประมาณเกือบ 20 ปี ได้แล้วค่ะ จริงๆคือว่าเราเป็นคนที่ชอบทำขนมมากเริ่มจากการที่เราอยากที่จะเปิดร้านกาแฟเมื่อ 20 ปี ที่แล้ว และการเปิดร้านกาแฟต้องมีขนมเราก็คิดว่าฉันต้องไปสั่งขนมคนอื่นมาไว้ที่ร้านเหรอ ไม่สิฉันต้องทำเอง แต่คือเชื่อว่าตัวเองไม่มีวันทำได้ เพราะว่าตัวเองเป็นคนใจร้อนแล้วมือหนักคงทำไม่ได้เลยตัดสินใจจ้างเชฟที่เป็นเพื่อนของเราเองมาสอนทำที่บ้าน ซึ่งเขาก็สอนเรา 10 สูตรที่เขาบอกเราว่าเราสามารถนำไปปรับเปลี่ยนใส่อะไรได้ทุกอย่างและสามารถทำขนมอะไรก็ได้ไปจนวันตายของเราเลย ซึ่งมันก็ทำได้จริงๆเป็นขนมฝรั่งล้วนๆนะคะ แต่เราไม่ได้เป็นคนชอบทานขนมฝรั่งนะคะ เราชอบขนมไม้ แต่เพราะเราจะเปิดร้านกาแฟเลยต้องทำขนมฝรั่งขึ้นมา สำหรับร้านกาแฟก็เปิดนะคะ แต่สุดท้ายก็ปิดไปเพราะว่าลูกค้าที่มาคือมาหา นรินทร จริงๆเขาก็มาทานด้วยนะคะ แต่เพราะเขาตั้งใจมาหาเรามากกว่า แต่พอมาแล้วไม่เจอๆก็งอลแล้วก็ไม่มาอีกเลยเพราะเราก็ทำงานไม่ได้อยู่ร้านตลอดเวลา ซึ่งส่วนในที่ใครๆเห็นภาพเราคือ เป็นนักร้องร็อคเกอร์ต้องห้าว ตลอดเวลา เอ๋ นรินทร : คือ ตัวตนจริงๆก็เป็นคนห้าว เรารู้สึกว่าเราเป็นคนจริงๆจริงใจมากๆและเราก็เป็นคนพูดตรงๆมาก แต่ลูกบุญธรรมเราเยอะคนที่กินอยู่ที่บ้านเรา ที่เราส่งเสียเรียนเป็นร้อยคน บางคนก็โด่งดังไปมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง แบบพอเขาโตขึ้นเขาก็ออกจากบ้านไปทีละรุ่นๆ ที่เขามาอยู่กับเราคือ ฟรีหมดทุกอย่างแม้แต่ยางเดียวเราก็ไม่เคยเอาจากใคร ทำแบบนี้มาก็ประมาณ 30 กว่าปีแล้ว สิ่งที่เราได้คือ เรามีความสุขทางใจของเรา เพราะลูกบุญธรรมบางคนคือ เขาเป็นลูกอภิมหาเศรษฐี เขาก็มาบอกเราว่าพ่อเขาว่า แม่เอ๋ อยู่ได้ยังไงเพราะสิ่งที่เขาถามเราทุกครั้งเราก็จะชี้มาที่ หัวใจ ของเรา เพราะทุกอย่างที่เรารับเขามาเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรมเราก็ใช้เงินส่วนตัวของเราทั้งหมด แล้วเวลาอยู่ในบ้านเราจะมีกฎทุกคนที่มาอยู่ในบ้านคือ ต้องเวียนกันทำงานบ้านและดูแลกันเอง เพราะคุณจะมีชื่อเสียงอย่างเดียวไม่ได้คุณต้องมีทักษะในการอยู่ร่วมต้องมีมารยาทในการทำงานคือเราจะสอนทุกอย่างเลย แล้วทุกครั้งที่มีคนสั่งมาดามเอ็นคือ ก็ต้องรอด้วยเพราะว่าไม่ได้สั่งแล้วจะได้เลยเพราะต้องรออารมณ์ของคนทำด้วย เอ๋ นรินทร : ใช่ค่ะ (หัวเราะ) อย่างวันนี้เราทำเค้กนี้ดีกว่าแล้วเราก็รู้สึกว่ากว่าจะได้หนึ่งก้อนกินเวลาฉันไป 8 ชั่วโมง ก้อนเดียวไม่ขายแล้ว แต่ก็มีคนสั่งเขามาเยอะเลยนะคะ แต่เราก็จะทำตามที่เราทำได้ ที่ไม่หาคนมาช่วยเพราะว่าการทำขนมมันเป็นงานความสุขคือ เราต้องทำคนเดียว ซึ่งทุกๆขนมที่ เอ๋ ทำคือ จะมีสโกแกนว่า อร่อยลืมตาย By นรินทร แต่ล่าสุดที่ทำออกมาคือ เค้กคัพ ที่ เอ๋ ทำนี้คือ ไม่มีแป้งและไม่มีน้ำตาล (แต่จะมีความหวานนะคะ เพราะเราจะใส่น้ำตาลที่สกัดจากผลไม้) คุณเอาสองซองใส่ลงไปในคัพนี้ใส่ไข่ลงไป 1 ฟอง แล้วคนให้เข้ากันเข้าไมโครเวฟ 2 นาทีก็ทานได้เลย ตอนนี้มีสองรสค่ะ วนิลา ช็อกโกแลต แต่เงื่อนไขของมันคือ ถ้าทำแล้วต้องทานเลยเพราะเดี๋ยวมันจะแข็ง ส่วนใครที่อยากทานก็สั่งมาได้ที่ โทร 094-071-7217 หรือแอดไลน์ @madam.m อีกด้านหนึ่งที่หลายคนไม่รู้แล้วคิดว่า พี่เอ๋ หายไปไหนแต่ทำงานหลากหลายที่ในฐานะผู้บริหารอยู่ เอ๋ นรินทร : ใช่ค่ะ ทำงานเบื้องหลังโทรทัศน์นี่แหละค่ะ เช่น อย่างที่เจอกับน้องอั๋น อยู่ JSL ตั้งแต่ที่เราออกอัลบั้มเราก็เป็นโปรดิวเซอร์รายการมาตลอด คือ จริงๆอาชีพหลักที่เลี้ยงเรามาคือ อาชีพการผลิตรายการโทรทัศน์นะคะ เพราะว่าเป็นนักร้องก็จะได้ยุคหนึ่งประมาณหนึ่งแต่เราไม่เคยหยุดผลิตรายการโทรทัศน์เลย เพิ่งจะมาหยุดได้เกือบสองปีนี้เองค่ะ สิ่งที่เรายังไม่เคยทำแล้วอยากทำคือ พิธีกร แบบจริงจังนะคะ แต่จะมีแบบไปเป็นรับเชิญส่วนใหญ่ค่ะ ที่เราออกห่างจากเบื้องหลังวงการบันเทิงเพราะเราไปเป็นผู้บริหารอยู่ที่เลเจนด์สยาม พัทยา คือ มาที่ไปในการเข้าไปอยุ่ตรงนั้นคือ มีทีมงานของ เลเจนด์สยาม พัทยา ที่เป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็มาเชิญบอกว่าอยากให้เราไปทำอีเว้นท์ให้หน่อย เราก็บอกว่าขออนุญาตไปดูสถานที่ก่อนเพราะเราจะไม่รับปากอะไรกับใครเลยถ้าเรายังไม่ได้เห็นหน้างานที่เราทำ เพราะเราต้องเห็นก่อนว่าเราจะสามารถทำได้ไหม เราก็ไปแล้วเจ้าของเขาก็พาเราดูทั้งหมด 164 ไร่ คือ สวยงาม เราก็ตอบตรงลงว่าเราจะไปทำให้ตอนแรกคือ เราก็คิดว่าเขาจะให้เราไปทำอีเว้นท์พอนัดไปเจอเขาเขียนงานทั้งปีเลยว่าให้เราทำอะไรบ้าง แล้วคือ เขาก็บอกว่าให้เราเข้าไปเป็นพนักงานประจำที่นั่นเลย เราก็บอกว่าจริงเหรอค่ะ แต่เงื่อนไขพี่เยอะนะคะ เราก็แจ้งเขาว่าอย่างแรกเลยขอไม่ให้ยุ่งงานในวงการของเราเลยเพราะถ้าภาพของเรายังอยู่ในวงการบันเทิง คนที่ได้ประโยชน์คือ เขา ซึ่งทางเขาก็สามารถรับเงื่อนไขของเราได้หมดเลย ซึ่งเราเพิ่งเข้าไปทำงานตอนเดือน กุมภาพันธ์ แล้วไม่กี่เดือนโควิดก็มา แต่ตอนนี้จากที่ได้คุยกันคือ น่าจะเปิดได้ในวันที่ 9 เดือน 9 เราก็ได้เตรียมงานเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และการเรียนรู้กัญชง กัญชา ทำเป็นมิวเซียมเลย ในช่วงที่โควิดเกิดขึ้นงานในวงการคือ ของเราก็ได้รับผลกระทบหนัก เอ๋ นรินทร : อย่างปีนี้ที่ติดต่อไว้ว่าจะถ่ายสี่เรื่องที่ว่าจะเริ่มถ่ายคือ ยังไม่ได้ถ่ายเลย แต่ที่ถ่ายไปแล้วมีออนไปบ้างแล้ว แต่ยังเหลืออีกเรื่องเดียวที่ยังไม่ได้ออน ซึ่งต้องบอกเลยว่าหน้าที่และบทบาทของ พี่เอ๋ คือ มีเยอะมากๆและอีกบทบาทคือ ทำอาหารแจกตอนกลางคืน เอ๋ นรินทร : เริ่มจากตอนเด็กๆของเราคือเหมือนทุกคนจะบอกว่าขอทุนอาหารกลางวัน แต่เราคิดว่าไม่ฉันจะขอทุนอาหารกลางคืนแล้วทุกคนคิดว่าเราล้อเล่น แต่พอเรามาเป็นนักดนตรีกลางคืน ในที่สุดเราก็มาเป็นตัวตั้งเขียนมาในชื่อ เพื่อนไม่ทิ้งกันไลฟ์โปรเจค มันเริ่มจากโควิดครั้งที่หนึ่งที่ทุกคนตกงานแล้วก็มาเป็นพ่อค้าแม่ขายแล้วคือเขาก็ขายของไม่เก่ง ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกว่าเราขายของเก่งนะ แต่เรารู้สึกว่าเพื่อนเราในเฟสบุ๊คคือ เยอะเราก็บอกทุกคนว่าใครที่ขายของส่งมาค่ะ เดี๋ยวพี่เอ๋ จะไลฟ์ช่วยขายของให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว และพอถึงระลอกใหม่ที่สามจนถึงวันนี้ มันก็เริ่มมี พรก. ฉุกเฉินคือห้ามกินในร้านนี้ ต้องซื้อกลับบ้านเท่านั้น เราก็เลยรู้สึกว่าแต่อาสากู้ภัยที่เป็นด่านแรกที่เขาคอยช่วยเหลือคน แล้วสิ่งที่เราไปเห็นคือ เขาไม่ได้มีชุด PPE แต่เขาใส่ชุดกันฝนแทน เราเลยรู้สึกว่าเราอยากทำอะไรเพื่อพวกเขา เราก็เลยจัดไลฟ์มินิคอนเสิร์ตขึ้นมาแล้วเปิดรับบริจาคเข้าบัญชี (ร็อก ฟอร์ ไลฟ์) ROCK FOR LIFE ซึ่งเป็นชื่อโครงการอยู่แล้วให้คนบริจาคเข้ามาและเราก็ทำอาหารเพื่อนำไปมอบให้อาสากู้ภัย แพทย์ พยาบาล เพราะว่าสามทุ่มห้าทุ่มเขาหาซื้อไม่ได้อยู่แล้ว แต่ในช่วงนี้เราก็พักโปรเจคไว้ก่อนเพราะว่าห้ามรวมตัวเกิน 20 คนค่ะ แต่เราก็ไม่ได้หยุดการมอาหารกลางคืนนะคะ เราก็ยังคงทำเหมือนเดิมแต่ใช้แค่คนในบ้าน ส่วนเงินก็นำมาจากเงินบริจาคที่เหลืออยู่ค่ะ ซึ่งเราจะทำไปมอบให้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามาเป็นผู้ให้เพราะว่าตัวของ พี่เอ๋ เคยผ่านการเฉียดตายมันเกิดอะไรขึ้น เอ๋ นรินทร : ย้อนกลับไปตอนที่เราอายุได้ประมาณ 30 เกิดไวรัสบีลงตับขั้นโคม่า คือ อะไรพอเราไปถึงโรงพยาบาลหมอบอกว่าคุณต้องตายแล้ว แต่เพราะเราไม่รู้เรื่องด้วยว่าเราเป็นถามว่าอาการออกไหมมีค่ะ ตาเราเหลืองมากแต่เพราะเราไม่ได้เป็นคนรักสวยรักงามเราไม่ค่อยได้ส่องกระจกด้วย แต่ที่มีอาการคือ ไอตอนกลางคืนเราก็คิดว่าเรานอนน้อยเพราะว่าเราต้องไปทำงานร้องเพลง แต่พอวันหนึ่งที่เราขึ้นคอนเสิร์ตแล้วเราไอตลอดเวลาเราก็รู้สึกว่าเราเป็นอะไร คือวันนั้นที่ร้องเพลงแรกคือเราจุกที่ท้องเลยคือ ต้องนั่งร้องเลย พอเสร็จงานเราก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาลหมอบอกเราว่าเราต้องตายแล้วเพราะว่าค่าเลือดของเราที่ออกมามันไปถึงสองพัน แล้วตับของเราคือ เป็นสีม่วงพร้อมแตก สิ่งที่เราทำได้คือ กินแป้งกินน้ำหวาน น้ำตาลเยอะๆเป็นแบบนั้นอยู่สามปี เราพูดไม่ได้เลยนะคะ ช่วงนั้น แต่ไม่ได้ถึงกับนอนติดเตียงนะคะ เราก็ยังช่วยตัวเองได้ ซึ่งพอรักษาไปคุณหมอก็แจ้งว่าเราหายแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แบบหายขาดและไม่เป็นพาหนะส่งไปถึงใครด้วย อันนั้นคือ ครั้งแรก ครั้งที่สองคือ เราลื่นหกหัวฟาดพื้นที่บ้านแล้วก็เข้าโรงพยาบาลรักษาหาย แล้วเราก็รู้สึกว่าไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะได้ลืมตาหรือเปล่า เราปฏิญาณกับตัวเรามาตั้งแต่เด็กๆนะว่าทุกวันที่เรามีลมหายใจ ฉันไม่ใช่คนดีร้องเปอร์เซ็นต์คือ พร้อมลุยเป็นผู้หญิงที่พร้อมบวก แต่บอกเลยว่าทุกวินาทีที่ยังมีลมหายใจจะพยายามทำดีที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ ถึงแม้เราจะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แต่เพราะเรามีพ่อแม่บุญธรรมที่ประเสริฐแล้วเราก็รักกันทั้งสองบ้าน แล้วเราก็รู้สึกว่าเราโชคดีเหลือเกินที่เราไม่เกเร สองอาชีพที่เราทำคนทั้งประเทศตอนรับเรา เราเลยรู้สึกว่าชีวิตนี้ที่เหลืออยู่เราสามารถทำอะไรได้เราก็จะทำและเราก็บอกลูกบุญธรรมเป็นร้อยว่าไม่ต้องตอบแทนอะไรแม่ ทันทีที่หาเงินได้คนแรกที่ต้องไปตอบแทนคือ พ่อแม่ของตัวเองกลับไปดูครอบครัวของตัวเองก่อน และตอนนี้ พี่เอ๋ ก็กลับมาดูแลตัวเอง เอ๋ นรินทร : ใช่ค่ะ เพราะว่ากลัวโควิดค่ะ เพราะว่าความอ้วนเป็นสภาวะป่วยของโควิด แล้ววันหนึ่งคุณช้างเขาแชร์โรคที่เสี่ยงกับควิดมา ซึ่งเราก็มีถึง 6 ใน 8 อย่างเลย ความดันเบาหวานคือ เรามีคบเลย ซึ่งคุณหมอ เขาอยากให้เราหยุดทานแป้งไปเลย ห้ามผลไม้ทุกชนิด นี่ทำมา 3 เดือนน้ำหนักหายไปเจ็ดกิโลแต่ไม่ได้แนะนำว่าให้ทำแบบนี้นะคะ เพราะทุกคนต้องไปหาหมอเพื่อให้หมอให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ และส่วนใครทำอยากร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือในโครงการก็สามารถเข้ามาดูได้ในเฟสบุ๊ค Narinthorn Na Bangchang สามารถชมรายการ ต้มยำอมรินทร์ ย้อนหลังได้ทาง ยูทูป : https://youtu.be/m57xlQCSekQ