เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่รัฐสภา น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 แถลงผลการประชุมกมธ. โดยน.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า ในการพิจารณางบประมาณที่ผ่านมา กมธ.ได้พิจารณาไปแล้ว 11 กระทรวง 4 กองทุน คิดเป็น 40 % ของวงเงินงบประมาณ โดยเมื่อวานนี้ (12 ก.ค.) กมธ.ได้มีการพิจารณาภาพรวมงบประมาณของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยได้สอบถามเกี่ยวกับการหาแนวทางป้องกันเหตุเพลิงไหม้หรืออุบัติภัยจากโรงงานผลิตสารเคมีในเขตชุมชน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุภัยพิบัติทำนองเดียวกันอีก หน่วยงานจึงควรสำรวจพื้นที่ในเขตชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศว่า มีการตั้งโรงงานที่แวดล้อมด้วยชุมชนเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในลักษณะนี้อีกหรือไม่และมีจำนวนเท่าใด โดยทางกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ชี้แจงว่าโรงงานดังกล่าวเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟม ซึ่งในประเทศไทยมีเพียง 2 แห่งเท่านั้น ซึ่งสารเคมีที่ระเบิดเป็นสารเคมีที่ผลิตเม็ดโฟม ทั้งนี้มีโรงงานที่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตและอยู่ในเขตที่มีชุมชนที่ต้องเฝ้าระวังประมาณ 446 โรงงาน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้โรงงานอุตสาหกรรมจัดทำแผนและนัดหมายโรงงานเหล่านี้เพื่อเข้าตรวจสอบอย่างเร่งรัดแล้ว นอกจากนี้จะมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆ ให้โรงงานเก็บสต๊อกสารเคมีน้อยลงเพื่อลดความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโรงงานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้และระเบิด หน่วยงานได้มีการประสานให้ย้ายไปตั้งโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมแทนพื้นที่เดิมแล้วและจะไม่อนุญาตให้ตั้งโรงงานในพื้นที่เดิมอีก
ด้าน นายจิรายุ กล่าวว่า จากกรณีที่นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้แสดงอาการโกรธและเกรี้ยวกราดในห้องประชุมอนุ กมธ.ฯ ซึ่งนายศักดิ์ดาหูแว่ว กมธ.เสนอตัด 1 ล้าน แต่ท่านอาจได้ยินเป็น 4 หรือ 10 ล้าน ซึ่งเหมือนเรื่องจะจบแล้ว แต่ก็ยังไม่จบ ตนจึงได้เสนอในห้องประชุมกมธ.ใหญ่ เพื่อสอบสวนเรื่องนี้ เนื่องจากเมื่อวานนี้อนุ กมธ.ฯ ได้รับจดหมาย 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งจากน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ขอเอกสารเกี่ยวกับชวเลข บันทึกภาพและเสียง อีกฉบับหนึ่งลงนามโดยนายศักดิ์ดาซึ่งได้ขอในรูปแบบเดียวกัน โดยอ้างว่าที่ผ่านมาปรากฏเป็นข่าวว่ามีการข่มขู่กมธ. ซึ่งตนในฐานะกมธ.ไม่ได้รู้จักนายศักดิ์ดาเป็นการส่วนตัวและไม่ได้ติดใจอะไร แต่กรณีดังกล่าวเหมือนกับท่านพยายามจะใช้การเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกมธ. หากเทียบกับกรมอื่น กรมทรัพยากรน้ำบาดาลถูกตัดลดงบประมาณน้อยมากเพียง 5 แสนบาท ตนไม่อยากให้เกิดกรณีเช่นนี้ การตัดลดงบประมาณเป็นหน้าที่สำคัญในการรีดไขมันกับหน่วยงานราชการอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการถามเกี่ยวกับการฟ้องนายศักดิ์ดา ในฐานะที่มาข่มขู่ จะทำโดยกมธ.ชุดใหญ่หรือไม่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 392 ว่าผู้ใดข่มขู่หรือแสดงการอาฆาตมาดร้ายย่อมสามารถฟ้องร้องได้มีโทษปรับและจำคุก ซึ่งขณะนี้ประธานกมธ.ชุดใหญ่ได้เตรียมตั้งคณะกรรมการแต่กำลังรอเอกสารและชวเลข
“ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าท่านจะฟ้องหมิ่นประมาทผม ขอเรียนว่ายินดี กรุณารีบฟ้อง เพราะความจริงแล้วเป็นการทำหน้าที่โดยทั่วไป หากท่านคิดว่าฟ้องแล้วเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นประโยชน์ต่อท่านก็ขอให้รีบดำเนินการ ขณะเดียวกันการดำเนินการตรวจสอบงบประมาณแผ่นดินของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมในฐานะฝ่ายค้านและเป็นแกนนำในการตรวจสอบติดตามมาโดยตลอด ก็จะใช้กมธ.สามัญตรวจสอบ ติดตามหน่วยรับงบประมาณในช่วงปี 63-64 อย่างเข้มข้น ซึ่งจะเป็นข้อมูลในการนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ จึงขอนำเรียนข้าราชการ ปลัด รองปลัด อธิบดี ให้ใจร่มๆ หากเป็นผู้บริหารระดับสูงก็สามารถใช้เหตุและผลในการอธิบายได้ อะไรที่ตัดด้วยอคติก็ตอบโต้ชี้แจงด้วยเหตุและผลได้ หากเป็นอคติส่วนตนของท่านก็จะเกิดปัญหาในการพิจารณาของกมธ.” นายจิรายุ กล่าว
นายจิรายุ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่หน่วยงานราชการจะฟ้องกมธ.ได้หรือไม่นั้น ที่ประชุมได้ยกข้อบังคับว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นกระบวนการพิจารณาในห้องประชุม ซึ่งอาจจะมีการใช้เหตุผลที่หลากหลายแต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะไปฟ้องเป็นการส่วนตัวหรือไม่ แต่หากถามตน ตนขี้เกียจเท้าความ ตนเป็นฝ่ายตรวจสอบไม่ได้สนใจอธิบดี แต่สนใจเนื้อหาที่อธิบดีทำงานมากกว่า หากท่านไม่มีการทุจริตโกงกิน ไม่มีเปอร์เซ็นต์ทอนก็ไม่ต้องกลัว ที่นี่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ถ้าเข้ามาแบบตรงไปตรงมาก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรทำร้ายท่านได้ นอกจากตัวท่านเอง