เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. พ.ต.ต.ทศพล กิติลาภ สว.กก.6 บก.ป. สนธิกำลังร่วมกับชุดสืบสวน สน.เตาปูน จับกุม นายจักรพันธุ์ แหมไธสง อายุ 48 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ 48/2564 ลง 9 ก.พ. 2564 “ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ และโดยใช้ยานพาหนะในการกระทำผิด ,หน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง, ข่มขืนใจผู้อื่น และ ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร” จับกุมตัวได้ที่ บริเวณด้านหน้าห้องเช่า ถนนประชาราษฎร์ สาย 1 ซอย 10 แขวงและเขตบางซื่อ กทม. สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้มีผู้เสียหายรายหนึ่งเข้าแจ้งความกับทาง สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ว่า ขณะกำลังเดินเล่นอยู่บริเวณริมทางหน้าบ้านพักในพื้นที่ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล ได้ถูกคนร้ายจำนวน 5 คน แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ขับรถยนต์ 3 คัน จอดเทียบข้างแล้วใช้อาวุธปืนจี้บังคับจับใส่กุญแจมือมัดขาอุ้มขึ้นรถ ก่อนปล้นเอาทรัพย์สินมีค่า ได้เงินสด 5,000 บาท และโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง ไป ก่อนจะขับรถพาไปปล่อยทิ้งไว้ริมทางเปลี่ยว แล้วแยกย้ายกันหลบหนี อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุดังกล่าวได้ไม่นานตำรวจ ภ.จว.นครปฐม สามารถตามจับกุมคนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุได้ 4 ราย พร้อมกับให้การรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างนายทุนคนหนึ่งมาทวงหนี้กับผู้เสียหาย ยอดเงินประมาณ 300,000 บาท ซึ่งเกิดมาจากการขัดแย้งกันทางธุรกิจ พร้อมกับให้การซัดทอดถึงนายจักรพันธุ์ ผู้ต้องหารายนี้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวนี้ด้วย ทางพนักงานสอบสวนจีงรวบรวมพยานหลักฐานจนมีการออกหมายจับดังกล่าว ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทราบว่าหลังก่อเหตุได้หลบหนีมาเช่าห้องพักอยู่ในพื้นที่ กทม. จึงติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว สอบสวนนายจักรพันธุ์ ให้การภาคเสธ อ้างว่าได้นั่งรถไปด้วยกันกับผู้ต้องหาคนอื่นๆจริง แต่ตอนนั้นไม่ทราบว่าจะไปทำอะไร รู้แค่ว่าเพื่อนชวนให้ไปช่วยทวงหนี้เท่านั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อเนื่องจากตรวจสอบประวัติพบปี 2552 เคยถูกตำรวจ สน.พหลโยธิน จับกุมคดีอ้างตัวเป็นตำรวจกองปราบปราม หลอกให้เหยื่อตรวจหาสารเสพติดก่อนจะกรรโชกทรัพย์ เป็นเงินสดจำนวน 8,000 บาท และในปี 2558 ยังเคยถูกจับกุมในคดี ครอบครองอาวุธปืน เพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อปี 2559 เบื้องต้นจึงนำตัวส่ง สภ.พุทธมณฑล ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป