นักร้องลูกทุ่งเจ้าของเพลงฮิต จดหมายฉบับสุดท้าย เกษม คมสันต์ วางไมค์ชั่วคราว มาหยิบเครื่องครัวเปิดร้านขนมจีนรสเด็ด !! หวังเป็นรายได้หลักในช่วงวิกฤตโควิด-19 นับว่าเป็นอีกหนึ่งคนบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 อย่างหนัก สำหรับนักร้องลูกทุ่งเจ้าของเพลงฮิต จดหมายฉบับสุดท้าย เกษม คมสันต์ ที่ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ที่เจ้าตัวได้เผยเพราะงานจ้างคอนเสิร์ต หรืองานร้องเพลงที่เคยมีมาหรือเคยได้รับหดหายไปหมดจนรายได้ที่เคยเข้ามาตอนนี้ต้องบอกว่าคือหลักศูนย์ตัวเองเลยไม่นิ่งนอนใจ ลุกขึ้นมาทำธุรกิจอาหารที่ตัวเองชอบทานนั่นก็คือ เปิดร้านขนมจีนรสเด็ด !! หวังเป็นรายได้หลักในช่วงวิกฤตโควิด-19 นอกจากนั้น เจ้าตัวยังเล่าย้อนไปในอดีตก่อนที่จะมาเป็น เกษม คมสันต์ ทุกวันนี้ เส้นทางที่เดินเข้ามาไม่มีคำว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบเลย ร้านขนมจีนนี้ไม่ธรรมดาเพราะว่าผู้ชายคนนี้เขาขอวางไมค์ชั่วคราวแล้วผันตัวมาทำธุรกิจ เพราะก่อนช่วงโควิดเขารับงานต่อวันต่อคืนคือมากมาย แต่พอเจอโควิดไปเรียกว่ารายได้คือ ศูนย์เลย เกษม คมสันต์ : ใช่ครับ เรียกว่าตอนนี้คือรายได้จากงานร้องเพลงคือ ศูนย์เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เรามาทำธุรกิจนี้ เพราะถ้าให้เรานอนอยู่เฉยๆเราก็จะเหนื่อย เราชีวิตเราก็ไม่ได้กำไรอะไร ตอนแรกคือเราตั้งใจที่จะทำก๋วยเตี๋ยวเลยเรียนทำก๋วยเตี๋ยว แต่สุดท้ายมาเปิดร้านขนมจีน (หัวเราะ) เพราะว่าเราเป็นคนที่ชอบทานอาหารที่เป็นเส้นๆเราเลยปรึกษากับครอบครัวเราจะทำอะไรกันดีนะ เราก็มาหาอะไรทำแล้วมันเป็นกำไรชีวิตได้ห้าบาทสิบบาทก็ยังดี ดีกว่าเงินไหลออกจากบ้านอย่างเดี๋ยวไม่มีเข้ามาในบ้านเลย เราก็เลยไปเรียาทำก๋วยเตี๋ยวที่ยโสธร เพราะว่าที่ต้องไปเรียนไกลถึงที่โน้นเพราะเราเคยไปทานก๋วยเตี๋ยวน้ำตกแล้วมันอร่อยมาก เราก็เลยไปเรียนไปซื้อสูตรกับเขาที่โน้นเลย กลับมาก็ลองทำดูวันแรกก็โอเคอยู่ แต่พอเราทำวันต่อไปๆคือ ไม่คงดีสักวัน เรียกเพื่อนฝูงมาลองทานช่วงแรกก็มาลองทานกันแล้วพอเราชวนมาอีกเขาบอกเราเลยว่าติดธุระมาไม่ได้เพราะว่าไม่อยากมาลองกินก๋วยเตี๋ยว ผมคิดว่าที่ไม่อร่อย คือความอร่อยไม่คงที่เพราะว่าอยู่ที่อารมณ์ของเราและความใส่ใจด้วย ถึงเราจะมีสูตรว่าต้องใส่ทุกอย่างเท่านี้เท่านั้น แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจมันก็ไม่ได้ครับ เราก็เลยเลิกล้มไป แล้วก็หันมาที่ขนมจีนแทนเพราะว่าขนมจีนเราทำทานมาเอง 20 ปีแล้วลองผิดลองถูกมาเยอะ อย่างเราไปงานแสดงที่ต่างๆเวลาเจ้าภาพเขานำอาหารมาให้มันก็จะมีขนมจีนให้เราทานด้วยตลอด เราก็เลยได้ลองผิดลองถูกในรสชาติการปรุงแต่ง เราก็เลยได้จำสูตรของแต่ละที่แต่ละภาคมาเรื่อยๆแล้วเราก็นำมาปรับเป็นของเราเอง เป็นสูตรเฉพาะของ เกษม ที่ร้านของเราก็จะมีน้ำยากะปิขาไก่เครื่องใน น้ำยาป่าขาไก่เครื่องใน แล้วก็น้ำเงี้ยว ส่วนร้านของเราคือ เราเปิดเป็นร้านเล็กๆก็พอครับ ส่วนที่ร้านเราก็มีเปิดแค่โต๊ะเดียว ส่วนมากเขาจะสั่งซื้อกลับไปทานที่บ้านกัน ในช่วงแรกที่เราเปิดร้านคือ แฟนเพลงยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ แต่เพื่อนฝูงของเราจะรู้ หรือเพื่อนในวงการ เพราะเขาเคยทานรสมือเราอยู่แล้วก็จะช่วยกันเหมา แล้วพอแฟนเพลงได้รู้ว่าเราทำเขาก็โทรมาจองกันเลยครับ วิธีการสั่งขนมจีนที่ร้านคือสามารถติดต่อมาที่เพจ หนมจีน P’เษม ส่วนต่างจังหวัดอีกไม่นานนี้จะได้ทานกันแน่นอนครับ เล่าย้อนกลับไปหน่อยดีกว่าตอนนั้นเกินสามสิบปีไหม ที่เข้าวงการมาและเข้าวงการมาได้ยังไง เกษม คมสันต์ : ยังๆไม่ถึงครับ ตอนนั้นเข้าวงการมาโดยการประกวดร้องเพลง ตอนนั้นเราก็อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่ก็ทำไร่ทำนา อยู่จังหวัดบุรีรัมย์ครับ แล้วด้วยความที่เราชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆเลยตั้งแต่ป.5 ป.6 เลยครับ อย่างสมัยก่อนเวลาเสาร์ อาทิตย์ เราไม่ได้ไปโรงเรียนพ่อแม่ก็จะให้เราไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เราก็แบกวิทยุไปร้องเพลงไป เราเลยคิดว่าวิธีการที่จะทำให้เราเข้ามาในวงการนี้ได้คือเราต้องเดินสายประกวด เราไม่มีช่องทางที่จะพาเราเข้าไปได้เลย เราก็ต้องใช้เส้นทางนี้พาเราเข้าไปแต่กว่าจะเข้ามาได้คือ ผมใช้เวลาประกวดอยู่ 10 ปี เลยนะครับ ที่ใช้เวลานานขนาดนั้นคงอาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่ถึงดวงของเราด้วยมั้งครับ แต่ว่าเราก็ใช้ความพยายามเต็มที่ คือ เราทำงานไปด้วย แล้วถ้าเรารู้ว่าตรงไหนมีเวทีที่ประกวดร้องเพลงเราก็ไปประกวดด้วย ช่วงแรกๆที่ประกวดส่วนมากได้รางวัลชมเชยอย่างผงซักฟอก เคยได้ที่หนึ่งครั้งเดียวเลยได้รางวัลมาคือ เตารีดเตาถ่าน แล้วหลังจากนั้นก็ประกวดมาเรื่อยๆจนเกือบจะท้อแล้วเพราะว่าเราใช้เวลาประกวดนานมาก ก่อนที่เราจะเข้าวงการเราก็ได้ประกวดเงาเสียงของพี่มนต์สิทธิ์ คำสร้อย ตอนนั้นคือเขาประกาศทางวิทยุ กับ หนังสือพิมพ์ว่าถ้าใครชนะเขาจะเอามาปั้นเป็นศิลปินเราก็ส่งเทปไปก่อนแล้วก็ติดที่สิบสี่ แล้วก็มาประกวดที่ฟาร์มจระเข้ ได้ที่สามครับตอนนั้น ถึงเราได้ที่สามชีวิตเราก็ไม่ได้เปลี่ยนเพราะว่าเขาเอาแต่ที่หนึ่งไปปั้น เกษม คมสันต์ : แล้วเราก็เริ่มบนบานศาลกล่าวถ้าเราได้มีบุญวาสนาได้เป็นนักร้อง สรุปตอนนั้นที่เราไปประกวดที่หนึ่งเขาก็หลุดไป ส่วนคนที่สองเขารับราชการไม่สามารถที่จะมาร้องเพลงตอนกลางคืนได้ สุดท้ายก็ตกมาที่เราอันดับที่สาม แล้วตอนนั้นเราได้อะไรบ้างตอนที่ที่หนึ่งตกมาอยู่ที่เรา เกษม คมสันต์ : ก็ได้รับโอกาสจาก เซฟ ออดิโอ ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้อัดเพลงเลยนะครับ เราก็ออกไปทัวร์คอนเสิร์ตกับพี่มนต์สิทธิ์ ก่อนสองปี เพราะเราต้องการเรียนรู้เราก่อน เรียนรู้นิสัยเรา โดยให้เราไปงานคอนเสิร์ตกับพี่มนต์สิทธิ์ ก่อนตอนนั้นได้วันละ 140 บาท หน้าที่ของเราคือ ขายตั๋วหน้าเวที แบกลำโพง คือทำทุกอย่าง แล้วก็มาร้องเพลงเปิดหน้าโชว์สองเพลง ตอนนั้นเราก็ยังไม่เห็นแววเลยครับว่าเราจะขึ้นมาเป็นนักร้องได้ยังไง เพราะเขาบอกว่าการเป็นนักร้องมันยากลำบากมาก เรามาแต่ตัวเพราะฉะนั้นนายห้างที่เขาจะลงทุนให้เราเขาจะต้องดูว่าเราเป็นคนยังไง นิสัยดีจริงไหม แล้วจะอยู่ในวงการนี้ได้หรือเปล่า แล้วเราก็ได้มีโอกาสได้ร่วมงานเพลงกับพี่มนต์ สิทธิ์ และพี่ฝน ธนสุนทร ในเพลงเกี่ยวก้อย ก้ได้รับกระแสที่ดีเลย หลังจากนั้นเราก็ได้มีโอกาสออกอัลบั้มเดี่ยวก็คือ จดหมายฉบับสุดท้าย ซึ่งพอเราได้ออกอัลบั้มเราแค่อยากจะออกมาเพื่อลบเสียงคำคนที่นินทาเราเพราะว่าเราจะมีโอกาสออกเพลงได้เหรอ ซึ่งพอออกมาคือเราก็ทำให้เขาได้เห็นว่าเราทำได้จริงๆ แต่เรื่องความดังไม่ดังตอนนั้นเราคิดแค่ว่าอยู่ที่บุญวาสนาของเรา ซึ่งเราก็ยังพอมีบุญวาสนาอยู่บ้างเพลงก็เป็นที่รู้จักครับ พอเรามีอัลบั้มออกมาแล้วต่อจากนั้นชีวิตของเราเป็นยังไง เกษม คมสันต์ : ชีวิตเราไม่รู้เลยว่าตัวเองดังครับ เพราะว่าเราเดินไปไหนก็ไม่มีใครรู้จักเราเลยสักคนเพราะว่าทุกคนร้องเพลงเราได้ไปไหนก็มีคนร้องเพลงเรา แต่ไม่มีใครที่รู้จักเราเลย แต่ตอนนั้นเราก็ไปทัวร์คอนเสิร์ตแล้วนะครับ แต่เหมือนแบบก่อนที่เราจะขึ้นเวทีคอนเสิร์ตเราก็จะแต่งตัวธรรมดาไปใส่กางเกงขาสั้นแล้วไปเดินเช็คเรตติ้งก็ปรากฏอย่างที่เล่าคือ ไม่มีใครรู้จักเราเลยสักคน ส่วน Mv ของเราก็มีนะครับ แต่ว่าเวลาที่เราถ่าย MV เราก็จะใส่หมวกก็เลยจะเป็นภาพอีกแบบหนึ่ง แล้วเวลาที่เราขึ้นคอนเสิร์ตเราก็จะทำผมแสกกลาง แต่ส่วนมากก็จะใส่หมวก พอถึงเวลาที่เราออกไปยืนอยู่หน้าเวทีตื่นเต้นไหม เกษม คมสันต์ : ครั้งแรกๆตื่นเต้นมาก เพราะเราไม่รู้ว่าแฟนที่มาดูเราเขาจะเมตตาเราขนาดไหน อย่างเวลาที่เราพูดหน้าเวทีตอนแรกๆเราก็พูดกลับไปกลับมา แล้วจำได้เลยว่าขึ้นเวทีครั้งแรกคือเราลืมเนื้อเพลงเพราะเราตกใจไม่นึกว่าคนจะมาดูเราเป็นหมื่นคน เราก็หันหน้าหันหลังเก็บอาการไม่อยู่เลยครับ อันนี้ไม่ถามไม่ได้เพราะว่านักร้องลูกทุ่งมีความสายมูอยู่เราเองมีไหม เกษม คมสันต์ : มีครับมี หนึ่งเลยก็คือหลวงปู่ทวดเพราะศิลปินส่วนมากจะเดินทางค่อนข้างเยอะเพราะแต่ละวันเรารับ สองถึงสามงานเราก็ต้องเร่งเพื่อให้ทันเวลาหรือใกล้เคียงเวลางานที่เรารับไว้ให้มากที่สุด มีครั้งหนึ่งที่เราต้องไปถ่ายรายการสดที่ จันทบุรี ซึ่งผมต้องขึ้นคิวที่สามด้วยความที่วันนั้นเราเดินทางช้า แล้วเราไปถึงตรงแถวอำเภอท่าใหม่ รถหมุนเพราะถนนลื่นแล้งรถของเราพุ่งชนต้นไม้ขาดเป็นสองท่อนเลยแล้วรถไหลไปเป็นร้อยเมตรยางระเบิดสามล้อเลยครับ แต่หลวงปู่ทวดที่เรานับถือท่านไม่หลุดไปไหนเลย แต่หลังจากประสบอุบัติเหตุเราก็ให้ผู้จัดการมาเฝ้าซากรถแล้วเราก็โบกรถไปที่รายการต่อก็ทันเวลาพอดีครับ หลังจากนั้นคือเราต้องมีหลวงปู่ทวด ทุกครั้งเวลาที่เราเดินทางเราถึงจะมั่นใจ แล้วผมก็ฝังตะกรุดไว้ด้วยของหลวงพ่อคูณ ให้เราคล้าวปลอดภัย เมตตามหานิยม แต่สุดท้ายมันอยู่ที่ใจของเราครับ แล้วก็มีเสื้อเกราะที่เราสร้างขึ้นมาเองเพื่อให้ตัวเรานิ่งด้วยครับ ทุกครั้งที่เราไปงานคอนเสิร์ตเราใส่แล้วเรารู้สึกอุ่นใจ ช่วงนี้ออกมาเป็นศิลปินอิสระแล้ว ตอนนี้ก็มีเพลงทำรอไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ปล่อยออกมาเป็นแนวไหนเอ่ย เกษม คมสันต์ : เพลงที่จะปล่อยคือ รู้จักเหงาตอนเขารู้จักเธอ อาจารย์บอย เขมราฐ เป็นคนที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมาให้ครับ อีกงานเพลงคือ สงสารน้ำตา เป็นเพลงที่เศร้าๆเหงาๆ สามารถชมรายการ ต้มยำอมรินทร์ ย้อนหลังได้ทาง ยูทูป : https://youtu.be/QmxS7mVTjpA