ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ใครว่าชีวิตแบบเทพนิยายไม่มีจริง แต่ว่าเป็นเทพนิยายแบบใดกันเล่า? พี่เรณูเป็นคนสวย ตอนนั้นผมอายุแค่สิบขวบ ส่วนพี่เรณูกำลังแรกรุ่นแตกเนื้อสาว อายุประมาณ 12 - 13 ปี ที่บ้านพี่เรณูมีแต่ผู้หญิง คือคุณยาย คุณแม่ และน้องสาวอีกสองคน รวมถึงคนใช้อีก 1 คนก็เป็นผู้หญิง พวกเราเรียกบ้านนี้ว่า “บ้านแม่หม้าย” เพราะคุณแม่ของพี่เรณูเป็นหม้าย ส่วนน้องสาวคนรองต่อมาจากพี่เรณูนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันกับผม ที่เรียนอยู่ในชั้นประถมปลายด้วยกัน ชื่อจินดา หน้าตาก็สวยเหมือนกัน รวมถึงน้องสาวคนสุดท้อง ชื่อวิภา ก็สวยเหมือนพี่ ๆ แต่สวยคนละแบบ พี่เรณูนั้นสวยแบบไทยเหมือนคุณแม่ จินดานั้นออกไปทางสาวแขก ส่วนน้องวิภาออกแนวฝรั่ง ๆ คุณแม่ของพี่เรณูชื่อพวงเพ็ชร มีชาวบ้านบางคนเรียกคุณแม่ของพี่เรณูว่า “คุณหญิงพวงเพ็ชร” คุณแม่ของพี่เรณูเคยประกวดนางสาวไทย แต่ไม่ได้ตำแหน่งอะไร อาจจะเป็นเพราะว่ารูปร่างผิดสเป็คกับความนิยมเรื่องความงามแบบไทย ๆ ในยุคนั้น คุณแม่มีรูปร่างสูงใหญ่ออกไปในแนวสาวฝรั่ง บางคนรู้มาว่าคุณหญิงพวงเพ็ชรมีเชื้อแขกขาว เดิมครอบครัวอยู่ทางภาคใต้ คุณตาคุณยายมีอาชีพค้าขาย แต่คุณตามีภรรยาหลายคน พอมาอยู่กรุงเทพฯก็แยกกันอยู่ โดยคุณยายของพี่เรณูได้มาเช่าบ้านของกรมประชาสงเคราะห์ย่านดินแดง จากนั้นก็ถูกรื้อมาสร้างเป็นแฟลต แต่คุณยายไม่ชอบเพราะต้องขึ้นไปอยู่บนตึก จึงย้ายมาอยู่ในย่านห้วยขวาง ซึ่งก็เป็นบ้านเช่าของการเคหะแห่งชาติ แต่เป็นบ้านแฝดที่มีบริเวณบ้านแม้จะไม่มากมายนักและดูโอ่โถงพอสมควร เพราะเป็นบ้านที่อยู่ปากซอยตรงหัวมุมพอดี จึงมีที่ดินเป็นรูปตัวแอลโอบล้อมหน้าบ้าน โดยได้ปลูกต้นไม้ไว้ค่อนข้างแน่นหนา แต่กระนั้นผู้คนก็ชอบมาเมียงมองแถวหน้าบ้านหลังนี้อยู่เสมอ ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะเป็นทางผ่านเข้าออกซอยนี้เท่านั้น แต่คงเป็นเพราะความสวยของสาวๆ ทุกคนในบ้านหลังนี้นั้นด้วย มีคนตั้งข้อสังเกตว่า บ้านนี้ไม่เห็นมีใครทำอาชีพอะไรที่แน่ชัด คุณยายก็อยู่บ้านเฉย ๆ ทั้งที่เคยเป็นแม่ค้ามาก่อน ส่วน “คุณหญิง” พวงเพ็ชรก็เอาแต่แต่งตัวสวย ๆ บางวันก็มีรถเยอรมันคันหรูมารับออกไป โดยมีผู้ชายวัยกลางคนแต่งเครื่องแบบทหารนั่งอยู่ในรถนั้นด้วย พวกปากหอยปากปูจึงนินทาไปว่า คุณหญิงพวงเพ็ชรคงเป็น “อนุ” ของทหารคนนั้น และฉายา “คุณหญิง” ก็มีวงเล็บกำกับไว้ว่า “คุณหญิงเล็ก” ที่หมายถึง “นังเล็ก ๆ” ของนายทหารผู้ใหญ่ อย่างที่กำลังเป็น “แฟชั่น” อยู่ในยุคนั้น ที่นำโดยผู้นำรัฐบาลผู้ได้ฉายาว่า “จอมพลผ้าขาวม้าแดง” ที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น ตอนนั้นเป็น พ.ศ. 2510 ผมกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯ หลังจากที่ต้องจากไปเรียนที่บ้านนอกอยู่ 4 ปี เพราะโรงเรียนประชาบาลที่เรียนอยู่มีชั้นเรียนแค่ชั้นประถม 4 พอดีคุณตาของผมได้ให้คุณแม่ไปรับผมกลับมาเรียนต่อในชั้นประถม 5 ที่โรงเรียนเดิม ซึ่งผมเคยเรียนมาตั้งแต่ชั้นเตรียมประถมมาก่อนแล้ว จึงได้พบกับเพื่อนเก่า ๆ ที่เรียนมาตั้งแต่ครั้งนั้นหลายคน รวมถึงจินดาและวิภาที่ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ ส่วนพี่เรณูนั้นเพิ่งจบชั้น ป.7 ไปเมื่อปีก่อน โดยได้เรียนต่อในโรงเรียนฝรั่งย่านถนนสามเสน โดยจะมีรถเก๋งมารับไปเรียนและพากลับมาบ้านในทุก ๆ วัน บางวันจินดากับวิภาก็ได้อาศัยติดรถไปโรงเรียนด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็จะนั่งรถเมล์ไปกับคนใช้ ซึ่งจินดาบอกว่าสะดวกกว่า เพราะไม่ต้องออกจากบ้านแต่เช้า พี่เรณูเป็นคนใจดี หลายครั้งเวลาที่มาเห็นพวกเราเล่นกันอยู่ในซอย ก็จะมีขนมหรือของเล่นมาแบ่งปันให้อยู่บ่อย ๆ แถมยังมาช่วยสอนหนังสือให้กับพวกเราด้วย โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่พี่เรณูดูจะมีความสามารถอยู่พอควร รวมถึงช่วยทำการบ้านภาษาอังกฤษนั้นให้ด้วย พวกเราบางคนจึงเรียกเธอว่า “ครูพี่แหม่ม” บางทีพี่เรณูก็เอาเสื้อผ้าสวยๆ มาแจกพวกน้องผู้หญิง บอกว่าเก่าไปบ้าง ใส่แล้วเบื่อบ้าง ทั้งที่บางตัวก็ดูใหม่มากและป้ายร้านค้าก็ยังไม่ได้เอาออก ล้วนแต่เป็นร้านดัง ๆ อย่างที่เรียกกันในสมัยนี้ว่า “แบรนด์เนม” ยิ่งไปกว่านั้นเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดไหนที่คุณแม่ไม่อยู่บ้าน พี่เรณูก็จะแอบเอาทีวีออกมาตั้งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน หันหน้าออกมาที่ด้านรั้วที่อยู่ในซอย แล้วเปิดเสียงให้ดังสักหน่อย ให้พวกเราได้ส่องดูจากริมรั้ว ในรายการของเด็ก ๆ พอคุณแม่จับได้ก็บอกว่าเป็นการให้ความรู้แก่น้อง ๆ ซึ่งคุณแม่ก็ต้องยอม และต่อมาก็ให้เราเข้ามาดูได้ข้างในตรงบริเวณสวนเล็ก ๆ ข้างบ้านที่มีต้นไม้ร่มครึ้มนั้น พอได้เข้ามาในบริเวณบ้าน เราจึงได้เห็นว่าบ้านของพี่เรณูหรูหราเอามาก ๆ แตกต่างจากบ้านพวกเราที่ส่วนใหญ่จะมีฐานะแค่ปานกลาง หรือข้าราชการชั้นผู้น้อยเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าเราจะไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่จากที่ได้เลียบ ๆ เคียง ๆ แอบมองเข้าไป ก็ได้เห็นว่าในห้องรับแขกมีชุดโซฟาบุนวมสีอ่อน ๆ กับตู้โต๊ะที่ดูดีมีคลาส พื้นปูด้วยกระเบื้องยางสีสวย แตกต่างจากบ้านของพวกเราที่อย่างดีก็เป็นชุดม้านั่งไม้ และหลายบ้านยังนั่งทานข้าวกับพื้น ซึ่งก็เป็นแค่ซีเมนต์ขัดมัน หรืออย่างดีก็เป็นเสื่อน้ำมัน ที่มีกลิ่นน้ำมันเหมือนอย่างชื่อ แถมถ้าโดนแดดหรือใช้ไปนาน ๆ ก็แห้งกรอบ หรือถ้าพอมีเงินอีกหน่อยก็ใช้เสื่อยาง ที่ไม่มีกลิ่นน้ำมันและอ่อนนุ่มดีกว่า แต่ทั้งหมดนั้นก็เทียบกับบ้านของพี่เรณูไม่ได้ เหมือนเอาบ้านยาจกไปเทียบบ้านเศรษฐีกระนั้น คุณยายของพี่เรณูก็เป็นคนใจดีมากเช่นเดียวกัน แม้ว่าแกจะไม่ค่อยมาสุงสิงกับพวกเราเด็ก ๆ มากนัก แต่ก็มาถามถึงพ่อและแม่ของเด็กคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง แบบที่เรียกว่าถามสารทุกข์สุกดิบ แล้วแกก็ไปเก็บตัวอยู่ในบ้าน พอตอนใกล้ ๆ เที่ยงก็จะออกมาพร้อมกับของว่างที่แกทำเอง จำพวกข้าวเกรียบทอด ถั่วลิสงชุบแป้งทอด หรือข้าวตังทอด เป็นต้น รวมถึงที่ให้ “พี่แดง” คนใช้คนเดียวของบ้าน ทำน้ำหวานใส่กระติกมาให้พวกเราได้ตักกิน พวกเราจำได้แม่นว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ในน้ำหวานทุกวันนั้นก็คือดอกมะลิ ที่ลอยมาบนก้อนน้ำแข็ง แม้จะมีเพียงไม่กี่ดอก แต่ช่างมีกลิ่นหอมชื่นใจ เป็นความหอมหวานที่ประทับใจไม่รู้ลืม ชีวิตของพี่เรณูก็เป็นชีวิตที่หอมหวานยิ่ง ไม่ต่างจากเทพนิยายทั้งหลายที่เราได้อ่าน แต่ท่ามกลางความหอมหวานเหล่านั้น ก็มีความขมขื่นและเจ็บปวดผสมอยู่ด้วย เพียงแต่พวกเราได้เห็นแต่ในสิ่งที่หอมหวาน ในขณะที่พี่เรณูต้องเก็บความหวานอมขมกลืนนั้นไว้เพียงลำพัง