วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก และบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (NITMX) ประกาศเปิดตัว EMV 3-D Secure Version 2.0 (3DS2) เทคโนโลยีล่าสุดสำหรับการพิสูจน์ตัวตนในการชำระเงิน ที่จะช่วยให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถทำธุรกรรมทางออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
อีคอมเมิร์ซถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการเติบโตในด้านการชำระเงินรวดเร็วที่สุด เพราะผู้บริโภคหันมาจับจ่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นเพื่อตอบสนองมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม และข้อกำหนดในด้านสุขภาพและความปลอดภัยซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 การพิสูจน์ตัวตนในการทำธุรกรรม และการระบุตัวตนของลูกค้าจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นในการค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ และเทคโนโลยี EMV 3-D Secure Version 2.0 จะช่วยป้องกันการฉ้อโกง และช่วยขับเคลื่อนการค้าในรูปแบบดิจิทัลด้วยการระบุตัวตนของผู้ทำธุรกรรมด้วยความรวดเร็วและปลอดภัย
สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมการชำระเงินจะเดินหน้าลงทุนในวิถีทางใหม่ ๆ เพื่อป้องกันอาชญากรรม ไปพร้อม ๆ กับการมอบความสะดวก และรวดเร็วในการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบ สำหรับวีซ่าเราต้องการแยกแยะระหว่างธุรกรรมที่ดีกับธุรกรรมต้องสงสัย และนวัตกรรมล่าสุดนี้ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกม ที่จะทำให้อีโคซิสเต็มการชำระเงินแข็งแกร่งขึ้น ควบคู่ไปกับการผลักดันธุรกิจการค้าแบบดิจิทัลให้ก้าวหน้าไปได้ ซึ่งล้วนจะประโยชน์ทั้งแก่ผู้ขายและผู้บริโภคทั้งสิ้น
โดย EMV 3-D Secure Version 2.0 นี้ ทำงานโดยการแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ร่วมกันระหว่างร้านค้าออนไลน์ เครือข่ายการชำระเงิน และสถาบันทางการเงิน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมนั้นๆ โดยในเวอร์ชั่น 2 นี้สามารถส่งข้อมูลได้มากกว่าเดิมถึงสิบเท่าเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการระบุตัวตนและเสริมความปลอดภัยให้แข็งแกร่งมากกว่าเดิม อาทิ ข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางการชำระเงินในอุปกรณ์ต่างๆ และประวัติการชำระเงิน เป็นต้น จากนั้นข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อยืนยันตัวตนของลูกค้าได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องสอบถามรหัสผ่านใช้ครั้งเดียว (One-Time Password หรือ OTP) หรือทำให้การซื้อขายต้องสะดุด
วรรณา นพอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด กล่าวว่า การชำระเงินออนไลน์นั้นมีการเติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งยังสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในเรื่องความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่น อย่างที่เราได้เห็นจากเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง EMV 3-D Secure Version 2.0 ที่ได้เข้ามาช่วยตอบโจทย์ตรงจุดนี้ และยังเอื้อให้สถาบันการเงินสามารถพิสูจน์ตัวตนและรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปพร้อม กับสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ดีให้แก่ลูกค้าของพวกเขาได้ ปัจจุบัน ถ้าธนาคารผู้ออกบัตรมีข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและเพียบพร้อมเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคในการชำระเงิน ก็จะช่วยให้ธนาคารสามารถลดความจำเป็นของชุดคำถามเพื่อพิสูจน์ตัวตนต่างๆไปได้
ทั้งนี้จากการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า (Visa Consumer Payment Attitudes Study) พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของคนไทย (47 เปอร์เซ็นต์) มีความกังวลว่าจะมีใครมาขโมยข้อมูลของพวกเขาระหว่างการทำธุรกรรมบนสมาร์ตโฟน นอกจากนี้ จำนวนหนึ่งในสามของคนไทย (33 เปอร์เซ็นต์) ยังกังวลด้วยว่าพวกเขาจะไม่ได้รับบริการที่มีความปลอดภัยเพียงพอจากการทำธุรกรรมบนสมาร์ตโฟน
“การป้องกันอาชญากรรมในการชำระเงิน การพัฒนาขั้นตอนการชำระเงิน และมอบประสบการณ์การชำระเงินไร้รอยต่อ คือสูตรสำเร็จในการดึงกลุ่มลูกค้าออนไลน์ วีซ่าจะยังคงเดินหน้าเพื่อนำเสนอนวัตกรรมทางการชำระเงินที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพให้กับผู้ประกอบการของไทยให้สามารถทำธุรกิจการค้าได้อย่างสะดวกและมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการเอื้อให้พวกเขาสามารถมุ่งขยายกิจการให้เติบโตต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้”