เดิมทีการสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกเป็นเรื่องที่ดี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรู้และเข้าใจที่มาและวิธีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ รวมไปถึงมีส่วนช่วยให้มนุษย์สามารถป้องกันการแพร่ระบาดและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสที่มีความคล้ายคลึงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต ทั้งนี้ประเทศจีนได้เป็นแบบอย่างของการสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสนี้ เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว ประเทศจีนได้ร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก (WHO) เริ่มดำเนินการเพื่อสืบหาต้นตอของเชื้อไวรัสในขั้นต้นไปแล้ว โดยจัดตั้งคณะนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของประเทศจีนจำนวน 17 คน และผู้เชี่ยวชาญจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอีก 17 คน จากองค์การอนามัยโลก (WHO) เครือข่ายเตือนภัยและรับมือโรคระบาดแห่งโลก (GOARN) และองค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) เพื่อร่วมมือศึกษาและค้นคว้าตรวจหาต้นตอของไวรัสที่ก่อให้เกิดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตาม หลังคณะนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญฯ ออกแถลงการณ์ถึงข้อสรุปของการศึกษาและค้นคว้าเพื่อหาต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19ว่า “เชื้อไวรัสดังกล่าวเป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดมาจากห้องทดลอง” แต่สหรัฐฯและกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (G7) เรียกร้องขอให้มีการสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบที่ 2 โดยสหรัฐฯได้ให้สำนักข่าวกรองกลาง (CIA) “ใช่ ! นั่นก็คือหน่วยงานที่ถูกฝึกให้ต้มตุ๋น หลอกลวง และขโมย” ทำหน้าที่ตรวจสอบและรายงานให้เสร็จสิ้นภายใน 90 วัน เพราะเหตุนี้จึงเกิดคำถามขึ้นมากมายเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้
  • สำนักข่าวกรองมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากกว่าคณะผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศอย่างนั้นหรือ?
  • สามารถหาข้อสรุป “ที่แท้จริงและเชื่อถือได้” สำเร็จภายใน 90 ได้จริง ๆ หรือ?
  • ทำไมสหรัฐฯและชาติตะวันตกบางประเทศจึงเมินเชยต่อข้อสรุปขององค์การอนามัยโลก?
หลักตรรกะทางวิทยาศาสตร์ถูกขัดจังหวะ หากต้องตอบคำถามเหล่านี้ ก่อนอื่นก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณารายงานข้อสรุปของคณะวิจัยร่วมระหว่างประเทศที่ดำเนินการสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสฯในอู่ฮั่นตลอด 28 วัน ซึ่งสามารถแบ่งข้อสรุปของรายงานการสืบสวนได้อย่างชัดเจนได้ดังต่อไปนี้ ;
  • อาจมีความเป็นไปได้มากที่เชื้อไวรัสแพร่จากสัตว์สู่มนุษย์โดยตรง
  • มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่เชื้อไวรัสแพร่ระบาดผ่านสัตว์เป็นพาหะตัวกลาง
  • เป็นไปได้ที่เชื้อไวรัสอาจปนเปื้อนมาจากระบบการขนส่งแบบควบคุมอุณภูมิ/อาหารแช่แข็ง
  • เป็นไปไม่ได้เลยที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเกิดจากอุบัติเหตุในห้องทดลอง
เชื่อได้ว่าใครก็ตามที่อ่านหนังสือออกก็สามารถเข้าใจความหมายของข้อสรุปเหล่านี้ได้ แน่นอนว่าไม่ตัดความคิดที่ว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่และเจ้านายของบางองค์กรที่มีหน้าที่ “ต้มตุ๋น หลอกลวง และขโมย”ไม่สามารถเข้าใจความหมายของข้อสรุปเหล่านี้ได้ ดังนั้น ดร.ปีเตอร์ เบน เอ็มบาเรค หัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญและภารกิจสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสขององค์การอนามัยโลกได้อธิบายเพิ่มเติมในงานแถลงข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ว่า “เกี่ยวกับสมมติฐานที่ว่าการรั่วไหลของเชื้อไวรัสจากห้องทดลองนั้น แทบไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นในการดำเนินงานเกี่ยวกับการสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสในอนาคตนั้น และพวกเราจะไม่ทำการสืบสวนเกี่ยวกับสมมติฐานนี้ต่อไป” หากยึดตามหลักตรรกะทางวิทยาศาสตร์ การดำเนินภารกิจสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสขั้นต่อไปยังคงมีความจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมในประเทศจีน และขยายการสืบสวนไปทั่วโลก เพื่อหาหลักฐานการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส แม้เบาะแสเบื้องต้นปรากฏมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม ควรมุ่งเน้นทิศทางการสืบสวนไปยังเบาะแสที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านั้น ตัวอย่างเช่น แถลงรายงานการวิจัยของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ หน่วยงานวิจัยภายใต้การบริหารจัดการของกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐณฯได้ชี้ว่า ได้ตรวจพบแอนติบอดีเชื้อไวรัสโควิด-19 ในตัวอย่างเลือดที่ได้เก็บจากประชาชนในหลายรัฐของสหรัฐฯ ซึ่งรายงานนี้ชี้ให้เห็นว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในสหรัฐฯเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคมของปี 2019 แล้ว คณะนักวิจัยของสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งชาติในกรุงมิลาน ประเทศอิตาลีคาดการณ์ว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดในประเทศอิตาลีในเดือนกันยายน ปี 2019 และจากข้อมูลของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของอิตาลีที่ได้ทำการตรวจสอบน้ำเสียในกรุงมิลานและตูริน พบมีเชื้อไวรัสโควิด-19ปนเปื้อน อยู่ คณะนักวิจัยของสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งชาติจึงเชื่อว่าสิ่งนี้บ่งว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากแล้วในเวลานั้น สถาบันปาสเตอร์ของฝรั่งเศสได้รายงานผลลำดับเบสดีเอ็นเอของผู้ป่วยโควิด-19ในฝรั่งเศสว่า เชื้อไวรัสโควิด-19เป็นสายพันธุ์ที่มีอยู่ในฝรั่งเศสอยู่แล้ว อาจจะมีการแพร่ระบาดแล้วก่อนปี 2020 เพราะมีลักษณะทางพันธุกรรมแตกต่างสายพันธุ์ที่มาจากจีน แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จำนวนมากต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหลายๆพื้นที่ และต้องต่อสู้กับมันเรื่อยมาเป็นระยะเวลายาวนานอย่างร้อนใจ แต่พวกเขาพบทิศทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งทำให้พวกเขามีความมุ่งมั่นและเข้มแข็งพร้อมจะต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 วิทยาศาสตร์ส่องแสงชี้ทางให้กับอนาคตของมนุษย์อีกครั้ง แต่ว่า จู่ ๆ หลักตรรกะทางวิทยาศาสตร์ก็ขัดจังหวะอย่างไม่เต็มใจจากข้อเรียกร้องใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯที่อ้างทฤษฎีที่ว่าเชื้อไวรัสโควิด-19รั่วไหลจากห้องทดลองของจีน สหรัฐฯจึงได้สั่งการให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติดำเนินการตรวจสอบและรายงานข้อสรุปที่ชัดเจนภายใน 90 วัน ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เฉพาะทางเช่นนี้ ให้หน่วยข่าวกรอกเข้ามาแทรกแซง ก็เหมือนกับการที่กำลังฟังการแสดงดนตรีซิมโฟนีอยู่อย่างเพลิดเพลิน แต่กลับมีคนขึ้นไปบนเวทีแย่งไม้คอนดักเตอร์ไป ถ้าคน ๆ นั้นเป็นคอนดักเตอร์ที่ดีก็แล้วไป แต่ปัญหาก็คือคน ๆ นั้นจะสั่งการและควบคุมการแสดงได้ดีกว่าคอนดักเตอร์ที่มีความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริงอย่างนั้นหรือ? นักวิทยาศาสตร์ตอบโต้อย่างแข็งกร้าว เรื่องเฉพาะทางก็ควรเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ จะไม่ตัดสินใจทำแบบไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างที่ทำเนียบขาวทำ จึงต้องปรึกษา รศ.ซู จิ้งจิ้ง อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ทางด้านสุขภาพ (The School of Health Humanities) มหาวิทยาลัยปักกิ่ง รศ.ซูได้ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การแพทย์และความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสาธารณะสุขมาอย่างยาวนาน มาลองดูความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญอย่าง รศ.ซู ว่ามีความเห็นต่อแหล่งกำเนิดหรือต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรบ้าง “การเสาะหาต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19ของนักวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องปฏิบัติและวิธีการตามหลักวิทยาศาสตร์ ตอนนี้รัฐบาลสหรัฐฯของไบเดนเรียกร้องให้สำนักงานข่าวกรองตรวจสอบและรายงานผลให้เสร็จสิ้นภายใน 90 วัน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ และไม่น่าเชื่อ” เปิดอกพูดกันอย่างตรงไปตรงมาในตอนแรก รศ.ซูยังชี้ว่าสำนักงานข่าวกรองของสหรัฐฯทำเรื่องไร้สาระที่เกินกว่าหน้าที่ของตน” “การดำเนินงานด้านการสืบหาต้นตอของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และโรคเอดส์ (HIV) ใช้ระยะเวลายาวนานถึงหลายทศวรรษ ปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ การที่เรียกร้องให้หน่วยงานที่ไม่ใช่หน่วยงานทางวิทยาศาสตร์อย่างสำนักงานข่าวกรองมาหาข้อสรุปเกี่ยวเรื่องนี้ให้สำเร็จภายใน 90 วันนั้น สุดท้ายแล้วก็จะได้ผลลัพธ์และข้อสรุปที่ได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว” “สังเกตเห็นปรากฏการณ์หนึ่ง ก็คือการที่สหรัฐฯและประเทศตะวันตกออกมาปั้นน้ำเป็นตัวสร้างกระแสซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามี “หลักฐาน” จริงๆแล้ว “หลักฐาน” ที่ว่านั้นได้รับการชี้แจ้งตั้งแต่แรกแล้ว มีรายงานจากสื่อ แต่กลับถูกมองข้ามอย่างเลือกปฏิบัติ การสร้างกระแสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับจะเป็นบอกว่า “โกหกพันครั้งเพื่อให้เป็นความจริง” อย่างนั้นหรือ” “เหล่าคนที่ส่งเสียงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ “การรั่วไหลจากห้องทดลองในอู่ฮั่น” ต่อไปนั้นสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท” รศ.ซู กล่าวต่อว่า “ประเภทแรกคือเหล่าคนที่มีทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับการรั่วไหลจากห้องทดลอง คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับแขนงวิชาวิทยาศาสตร์ เช่น เจมี เมตเซิล สมาชิกสภาแอตแลนติกแห่งสหรัฐฯ เขาเป็นผู้นำการร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกหลายฉบับ ประกาศว่าไม่สามารถตัดเรื่องเชื้อไวรัสรั่วไหลจากห้องทดลอง สื่อบางสำนักยังบอกว่าเขาเป็นที่ปรึกษาและนักพันธุศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก แท้จริงแล้วเขาเข้าร่วมงานของคณะกรรมการจริยธรรมขององค์การอนามัยโลกในฐานะที่ปรึกษาเท่านั้น บนหน้าเว็บไซต์ทางการของเขาเอง แนะนำตัวเองว่าเป็นนักภูมิรัฐศาสตร์และที่เรียกว่า “นักอนาคตศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์” แต่เขายังไม่เคยตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ด้านชีวเวช (Biomedicine) เลย กลับเคยตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์มากมาย” รศ.ซู กล่าวต่ออีกว่า อีกประเภทก็คือ โรเบิร์​ต เรดฟิล ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ และ บาร์ริค นักไวรัสวิทยาของสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วพวกเขาต่างไม่สนับสนุนหรือแม้แต่คัดค้านทฤษฎีที่ว่า “เชื้อไวรัสรั่วไหลจากห้องทดลอง” แต่ปีนี้พวกเขากลับเปลี่ยนคำพูด แต่ที่แปลกก็คือพวกเขาไม่มีหลักฐานใดสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นนี้เลย “สิ่งที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ เนื่องจากบาร์ริคเคยร่วมงานวิจัยกับศาสตราจารย์สือ เจิ้งลี่ ในห้องทดลอง P4 ในอูฮั่น สื่อต่างประเทศจึงพยายามใช้การ “เปลี่ยนคำพูด”ของบาร์ริคเป็น “ข้อกล่าวหา” ที่ว่าเชื้อไวรัสหลุดจากห้องทดลอง P4 ในอู่ฮั่น ความจริงก็คือตามรายงานการวิจัยเกี่ยวกับเชื้อโคโรนาไวรัสร่วมกันระหว่างบาร์ริคและศาสตราจารย์สือ เจิ้งลี่ในปีนั้นไม่ได้ทำให้เกิดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขึ้น นอกจากนี้ศาสตราจารย์สือ เจิ้งลี่ให้ข้อมูลลำดับเบสดีเอนเอและพลาสมิดเพียงบางส่วนเท่านั้น สำหรับกระบวนการ “hybridization” ไวรัสไม่ได้ทำในห้องทดลองในอู่ฮั่น แต่ทำในห้องทดลองของบาร์ริคทำงานอยู่ ในมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา “แม้แต่ทางมหาลัยดังกล่าวยังเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในปีนั้นว่า นักวิจัยของมหาวิทยาลัยตนเป็นผู้ค้นพบว่าเชื้อไวรัสโคโรน่าไวรัสมีความเป็นไปได้ที่จะแพร่สู่มนุษย์ ไม่ใช่นักวิจัยจากห้องทดลองที่อู่ฮั่น หากบอกว่ามีการรั่วไหลเกิดขึ้น นั่นก็ควรจะเป็นการรั่วไหลที่เกิดขึ้นจากห้องทดลองของบาร์ริคจึงจะสมเหตุสมผล” ได้พูดคุยกับ รศ.ซู จนถึงตอนนี้ ก็มีคำตอบให้กับสามคำถามที่ได้ถามไว้ในตอนแรกแล้ว นั่นก็คือ
  • สำนักข่าวกรองมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากกว่าคณะผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศอย่างนั้นหรือ? : NO!
  • สามารถหาข้อสรุป “ที่แท้จริงและเชื่อถือได้” สำเร็จภายใน 90 ได้จริง ๆ หรือ? : NO!
  • ทำไมสหรัฐฯและชาติตะวันตกบางประเทศจึงเมินเชยต่อข้อสรุปขององค์การอนามัยโลก? : เพราะว่าพวกเขามีข้อสรุปและข้อกล่าวหาที่ได้กำหนดไว้ก่อนแล้ว
ให้วิทยาศาสตร์นำการสืบสวนหาต้นตอของโควิด ไม่ใช่การเมือง ในแวดวงวิทยาศาสตร์นานาชาติมีนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงจำนวนมากมีความเห็นและมุมมองที่คล้ายกับ รศ.ซู จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เพียงแต่เสียงของพวกเขาไม่ค่อยถูกสื่อตะวันตกบางสำนักนำไปรายงานข่าวก็เท่านั้น (เอ๋ ? นั่นเป็นเพราะอะไรนะ ?) หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯของไบเดนเรียกร้องให้มีการ “สืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัส” เพิ่มเติม ผู้เชี่ยวชาญด้านสถานการณ์ฉุกเฉินของ​องค์การอนามัยโลกกล่าวในตอนนั้นว่า ตอนนี้ภารกิจสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสได้ถูก “การเมืองทำให้เป็นพิษ” แล้ว Rinat Maksyutov ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย​ไวรัสและเทคโนโลยีชีวภาพรัสเซียเชื่อว่า ผู้เชี่ยวชาญไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับต้นตอตามธรรมชาติของโควิด-19 ซึ่งเชื้อไวรัสโควิด-19แตกต่างจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์เก่า 20% และเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะสร้างขึ้นมาเอง Vincent Racaniello ศาสตราจารย์ด้านจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เราจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเชื้อไวรัสในธรรมชาติ ทฤษฎีที่บอกว่าเกิดจากอุบัติเหตุในห้องทดลองนั้นได้สิ้นสุดไปแล้ว! เหตุผลที่สหรัฐฯหยิบยกเรื่องนี้มาพูดอีกครั้ง ก็เพื่อต้องการให้เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับการเมือง พวกเราไม่ได้พิจารณาถึงหลักทางวิทยาศาสตร์เลย” จนถึงตอนนี้ เชื้อไวรัสโควิด-19ได้พัฒนาการกลายพันธุ์ไปแล้วกว่าหลายพันสายพันธุ์ทั่วโลก ถึงเวลาต้องตื่นแล้ว นี่ไม่ใช่สงครามระหว่างประเทศใดประเทศหนึ่ง นี่เป็นสงครามระหว่างมวลมนุษยชาติกับเชื้อไวรัสโควิด-19!มันกำลังใช้ประโยชน์จากการที่สังคมมนุษย์กำลังเสียเวลาไปเพียงเพราะต้องการเป็นใหญ่ เห็นแก่ตัว และความเขลา กลายพันธุ์และมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง บนเส้นทางของการสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19 การเป็นอิสระจากการแทรกแซงทางการเมือง และยึดหลักทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวอธิบาย ได้กลายเป็นตัวเลือกเดียวของมวลมนุษยชาติไปแล้ว การกระทำใด ๆ ที่ขัดขวางการก้าวเดินของวิทยาศาสตร์ และทำให้เสียเวลาอันมีค่าและทรัพยากรไปกับประโยชน์ส่วนตนและการครอบงำทางการเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของเชื้อไวรัส