วันที่ 2 ก.ค.64 ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า... ตั้งความหวังที่เป็นจริง เราทุกคน หวังว่าโควิดจะหายไปจากโลกนี้ หวังว่าเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม เหมือนก่อนโควิด แต่ความเป็นจริงคือ - โควิด จะอยู่กับเราต่อไปจนถึงอย่างน้อยปีหน้า และต่อๆไปก็จะยังกลับมาเรื่อยๆ แม้ว่าอาจจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว ก็ยังไม่มีอะไรรับประกันได้ - การที่เราจะใช้มาตรการกดจำนวนผู้ติดเชื้อให้ลดลง อาจตามมาด้วยความทุกข์เข็ญของปากท้องของผู้คนจำนวนมากเช่นกัน แต่ถ้าให้เสรีภาพในการทำมาหากินตามปกติ ก็จะเกิดความเสี่ยงต่อการรวมตัวและแพร่ระบาดอีก - นับจนถึงวันนี้ ยังไม่มีประเทศไหนที่ได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนก่อนโควิดจริงๆเลยแม้แต่ประเทศเดียว ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนไปเท่าไหร่ก็ตาม จะมีก็แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ และควรทำ อาจเริ่มต้นจากการ set expectation หรือตั้งความหวังที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เช่น - ยอมรับว่าเราต้องอยู่ร่วมกับโควิดไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปีหรือนานกว่านั้น คงไม่ต้องรอว่าเมื่อไหร่เราจะได้กลับมาทำอะไรเหมือนเดิม แต่คิดล่วงหน้าไปเลยว่าเราจะทำอย่างไร เปลี่ยนแปลงตัวอย่างไรเพื่อให้อยู่กับโควิดให้ได้ และหวังว่าสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงนั้น จะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยได้ - รับรู้ว่าสงครามครั้งนี้มีศึกสองด้าน คือสุขภาพกับเศรษฐกิจ ถ้าเลือกดูแลด้านหนึ่งเป็นพิเศษ อีกด้านก็จะแย่ ประเทศส่วนใหญ่ในช่วงแรกก็จะเน้นสุขภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่ทางสายกลาง ซึ่งไม่มีทางที่จะกดยอดให้ต่ำมากๆได้ เพราะว่าจะเปิดช่องให้ทำมาหากิน ดำเนินชีวิตกันไปเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นความหวังของเราคือ การสามารถอยู่ร่วมกับโควิดไปได้โดยไม่มีความเสี่ยงมากเกินไป โดยที่ยังทำมาหากิน ใช้ชีวิตตามเดิมได้เท่าที่จะทำได้ บวกกับการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่มาจากการปรับตัวของเรา - รับรู้ว่ายอดผู้ติดเชื้อ เป็นระลอก มีขึ้นมีลง ขาขึ้นจะดูน่ากลัว เราก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ไม่ว่าจะยอดจะขึ้นไปสูงอย่างไร ก็จะต้องมีจุดที่ตกลงมา เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศ ความหวังของเราคือ ทำอย่างไรให้การระบาดนั้นสั้นที่สุด ผู้เสียชีวิตน้อยที่สุด (ซึ่งเป็นเหตุผลที่จำเป็นต้องให้คนแก่และกลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด) - รับรู้ว่าในวิกฤต จะมีความวุ่นวายสับสน เหมือนในภาวะสงคราม โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลข่าวสาร และก็ไม่ใช่ทุกสื่อมวลชนที่จะเป็นที่พึ่งได้ แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดหวังว่าการสื่อสารจะต้องเป็นไปในทางเดียวกันทั้งหมด ตราบใดที่ทุกคนจะพูดจะเขียนอะไร ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ก็มีช่องทางให้ทำได้ทั้งสิ้น หรือจะหวังให้ทุกสื่อทุกคนสื่อสารด้วยจริยธรรมก็คงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นนอกจากเราควรจะคาดหวังข้อมูลที่ดี มีประโยชน์จากทางการแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญก็คือที่แต่ละคนควรจะหวังพึ่ง ก็คือสติของเราเองในการแยกแยะข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้นในทุกๆวัน ไม่เช่นนั้นเราก็จะตกเป็นเหยื่อเองได้ เรื่องมาตรการต่างๆของรัฐ เป็นสิ่งที่เราทุกคนในฐานะประชาชนมีสิทธิเรียกร้องและแสดงความคิดเห็น ซึ่งผมก็เชื่อว่าสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ คงไม่มีประเทศไทยอยากใดต้องการให้เกิดความเสียหายหรือใครเสียชีวิต และอยากจะแก้ปัญหาให้ดีที่สุด ซึ่งก็คงไม่สามารถจะเป็นที่พอใจของทุกคนได้ และก็คงไม่มีประเทศไหนที่สามารถดูแลทุกคนได้ทุกวันตลอดไป แต่อย่างน้อย ถ้าเราเริ่มต้นจากการตั้งความหวังที่เป็นจริง เราอาจจะเริ่มมองว่า เป้าหมายของเรา ไม่ใช่การกลับไปสู่อดีตที่เคยทำ เพราะมันอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่อาจจะเป็น การยอมรับความจริงว่าชีวิตของเราคงไม่ได้กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว และเราจะทำอย่างไรให้มันดีที่สุด ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆท่านครับ