ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ชีวิตจริงคือความทุกข์ทรมาน เมื่ออุดมการณ์เป็นเพียงแค่ “ความเพ้อฝัน” ต้นปี 2519 พวกเราต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีคนทราบว่ากุศลเลือกสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่บางคนบอกว่าเขาสอบไม่ได้ และได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ที่ทุกคนได้ยินมาเหมือนกันก็คือ เขาถูกจับในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ทหารและตำรวจเข้าล้อมปราบในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จากนั้นก็ได้รับการประกันตัวออกมา แล้วเขาก็หนีเข้าป่าไปกับเพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัยอีกหลายคน และข่าวคราวของเขาก็เงียบหายไปตั้งแต่บัดนั้น ปลายปี 2526 มีการเลี้ยงพบปะสังสรรค์ของกลุ่มนักเรียนวัดมกุฏกษัตริย์รุ่นที่เรียนระหว่างปี 2518 - 2519 ซึ่งเป็นการจัดขึ้นเป็นครั้งแรกภายหลังที่จบการศึกษาไปเมื่อ 7 ปีก่อน จึงมีคนมาร่วมไม่มากนัก สังเกตได้ว่าคนที่มาจะเป็นคนที่สามารถลงหลักปักฐานได้แล้วเป็นส่วนใหญ่ หลายคนเพิ่งจะสร้างเนื้อสร้างตัว เพิ่งหางานหาการทำได้ บางคนก็เพิ่งจะแต่งงานมีครอบครัว ส่วนที่ยังไม่มีงานทำหรือยังไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ก็ไม่ได้มาร่วมงาน พวกเราถามหาเพื่อนคนโน้นคนนี้ บางคนก็ทราบข่าวว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน แต่บางคนก็ไม่ทราบข่าวคราวอะไรเลย ในจำนวนนี้ก็มีเรื่องของกุศลอยู่ด้วย บางคนได้ยินมาว่าเขาตายบนฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์บนเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ระหว่างการสู้รบกับทหารของทางการ และศพของเขายังฝังอยู่บนยอดเขาสูงนั้น กลางปี 2531 ผมถูกยืมตัวจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชที่ผมรับราชการอยู่ มานั่งทำงานเป็นหน้าห้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หน้าที่อย่างหนึ่งของผมก็คือคอยต้อนรับสื่อมวลชนที่ต้องการเข้าพบกับรัฐมนตรี วันหนึ่งมีนักข่าวจากหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจรายสัปดาห์ฉบับหนึ่งโทรศัพท์มาบอกว่าอยากสัมภาษณ์ผม ซึ่งแปลกกว่าทุกคนที่เคยโทรศัพท์มานัดหมาย ผมจึงรับนัดหมายและพอถึงเวลาเขาก็มาตามเวลานัด ซึ่งก็ทำให้ผมยิ่งแปลกใจมากขึ้นเพราะคนที่มาหาผมก็คือกุศล คนที่เพื่อน ๆ บอกว่าตายไปหลายปีนั้นแล้วนั่นเอง เราคุยกันอยู่นานเกือบทั้งบ่ายวันนั้น นอกจากให้ข้อมูลข่าวของท่านรัฐมนตรีในการสนทนาในตอนต้น ๆ แล้ว ส่วนอื่นนอกนั้นเราคุยกันด้วยเรื่องสมัยเรียนและเรื่องตอนที่กุศลเข้าป่า กุศลบอกว่าตอนที่ถูกล้อมปราบเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เขากำลังรอขึ้นปราศรัยบนเวที ตอนนั้นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลับรามคำแหงบอกกับเขาว่า ทหารกำลังพ่ายแพ้ กลุ่มผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศกำลังลุกฮือ และจัดการประท้วงไปทั่วประเทศ เพื่อเข้ามาสมทบกับมวลชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทหารจะถูกขับไล่ออกไปจากการมีอำนาจทางการเมืองอย่างเด็ดขาด ยิ่งกว่าในตอน 14 ตุลาคม 2516 เพราะพลังของเรา(ม็อบต่อต้านทหาร)ได้รับการสนับสนุนทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ และประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคสังคมนิยมอย่างเต็มรูปแบบ ดั่งคำที่ว่า “เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ซึ่งได้ตั้งมั่นมาตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 นั่นแล้ว ตอนที่เขาถูกจับ เขาถูกซ้อมจนสะบักสะบอม เพื่อนเขาบางคนที่หนีออกมาได้จากรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มาถูกรุมสกรัมเอาไม้แหลมทิ่มแทงที่ข้างสนามหลวง บางคนถูกจับแขวนคอบนต้นมะขาม บางคนถูกเอายางรถยนต์มากองแล้วสุมเผา หลายอาทิตย์กว่าที่เขาจะได้รับการประกันตัวออกมา เขาไม่กล้ากลับบ้านน้าที่เขาอาศัยอยู่ที่มหานาค เขาไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่ชุมพร เพื่อนพาไปแถวอำเภอนาสาร แล้วขึ้นเหนือไปที่อุ้มผางและน่าน ก่อนที่จะไปยังฐานเขาค้อ ที่นั่นเขาพบคนดัง ๆ หลายคน เขาต้องฝึกยิงปืน ฝึกยุทธวิธีทหาร ทำงานบริการ และเข้าเรียน “หลักสูตรปฏิวัติ” ซึ่งก็ได้แค่ฝึก เพราะพอทางฝ่ายรัฐส่งกำลังขึ้นมา ก็พากันหาที่ซุกซ่อนหัวซุกหัวซุน กลางคืนก็ต้องพรางไฟห้ามทำให้มีแสงสว่างทุกชนิด กลางวันจะมาไหนไปไหนก็ต้องเดินลัดเลาะไปตามสุมทุมพุ่มไม้ เพื่อหลบเลี่ยงการลาดตระเวนหาของเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ทางอากาศ บางครั้งไม่มีอะไรกินเป็นอาทิตย์ ๆ เพราะออกไปหาอะไรกินไม่ได้ เขาต้องกินแม้กระทั่งกิ้งก่า แย้ และงูต่าง ๆ รวมทั้งแมลงต่าง ๆ ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ทีแย่ที่สุดก็คือไม่ได้อาบน้ำเป็นสิบ ๆ วัน เพราะหน้าแล้งหาแหล่งน้ำยาก แหล่งน้ำที่มีก็ออกไปตักไปหาบมาไม่ได้ เพราะอยู่ในที่โล่งแจ้งที่ถูกฝ่ายรัฐจับตามองอยู่ตลอดเวลา ในตอนปลายปี 2526 เริ่มมีคนหนีออกจากฐานที่มั่นมากขึ้น ๆ เขาทราบว่ารัฐบาลได้มีนโยบายให้คนที่มาอยู่ในป่าได้ออกไปมอบตัว และจะไม่ลงโทษเอาผิด โดยจะถือว่าเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” กลางดึกก่อนวันสิ้นปี ๆ นั้น เขากับเพื่อนอีก 2 คนก็หนีลงมามอบตัวที่หมู่บ้านข้างล่าง เขาถูกส่งตัวมาที่กรุงเทพฯ ถูกกักขังและให้ทำงานอยู่ในค่ายกักกันแห่งหนึ่งแถวปราจีนบุรีเกือบปี แล้วเขาก็กลับไปอยู่บ้านฝั่งธนระยะหนึ่ง ก่อนที่จะออกหางานทำไปเรื่อย ๆ เริ่มจากไปทำงานหาโฆษณากับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ก่อนที่จะมาเป็นผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจรายสัปดาห์ฉบับที่เขากำลังทำอยู่นี้ และตอนท้ายเขาบอกว่าถ้ามีงานอะไรให้เขาทำเขาก็อยากทำ เพราะงานนักข่าวไม่มั่นคง และเขาอึดอัดมากกับการทำงานเกี่ยวกับการค้าการขายและตลาดหุ้น เพราะมันเป็นเรื่องของทุนนิยม ที่เขาต่อสู้และต่อต้านมาโดยตลอด ทว่าเพื่อความอยู่รอดเขาก็ต้องจำทนฝืนทำ หลายปีต่อมาเขาไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ของรุ่น เพื่อนหลายคนทำทีท่าว่ามองเห็นตัวเขา เขาสูบบุหรี่จัดและปลีกตัวออกมาจากห้องจัดเลี้ยงออกมาสูบบุหรี่อยู่บ่อย ๆ ผมได้เจอเขาตอนที่ออกมาจากห้องน้ำและได้พบเขาที่ข้าง ๆ ร้านอาหาร เขาบอกว่าตอนนี้เขาทำงานอยู่ที่บริษัทค้าขายโภคภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยความช่วยเหลือของรุ่นพี่ที่เข้าป่าไปด้วยกัน หลายคนออกมาทำงานที่บริษัทนี้ โดยบริษัทมีข้อตกลงว่าห้ามไม่ให้เปิดเผยตัวตนหรือสร้างข่าวที่เกี่ยวกับตัวเอง ทุกคนทำงานด้านมวลชนเหมือนเดิม แต่เป็นการทำการตลาดเชิงลึก โดยลงพื้นที่แบบองค์กรพัฒนาเอกชน สร้างเครือข่ายเกี่ยวกับธุรกิจการเกษตร และคอยปลูกฝังให้เกษตรกร “จงรักภักดี” ต่อบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนั้น กุศลเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดในวัยเพียง 50 ปีเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมยังจำคำพูดของเขาที่พูดกับผมสองต่อสองในวันที่มาร่วมงานเลี้ยงรุ่นวันนั้นได้ติดหู เขาพูดว่า “เป็นเพื่อนกันนี้ดีกว่าเป็นสหายหลาย ๆ เท่า” และผมก็เข้าใจว่าความเป็นเพื่อนนั้นอยู่เหนืออุดมการณ์ใด ๆ ทั้งปวง