เมนูหายากอาหารสุดแซ่บของเด็ดสาหร่าย อีสาน มาแต่โบราณมีเงินใช่หากินได้ทั้งยังให้คุณค่าทางโภชนาการผักสีเขียว ตรงจากธรรมชาติ คณะครูศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดชัยภูมิ หัวใสคิดค้นวิธีการเลี้ยงไข่ผำพืชน้ำ หรือจัดอยู่ในตระกูลสาหร่ายสีเขียว เต็มคุณค่าด้วยสารอาหาร ในกะละมังพลาสติก ส่งเสริมให้ชาวบ้าน และผู้ว่างงานได้นำไปสร้างอาชีพได้ทั้งอาชีพเสริม และอาชีพหลักได้ ในช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ใช้เวลาการเพาะเลี้ยงเพียง 15 วัน นำออกขายกิโลกรัมละ 40 บาท ตลาดรองรับอีกมาก สุดยอดอาหารอีสานที่มีมาช้านาน ทั้งตอกไข่ใส่ ปรุงรสด้วยน้ำปลาซีอิ๊วและพริกไทย ตีให้เข้ากัน ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อน เทไข่ลงในกระทะก็จะได้ไข่เจียวหอมๆ พร้อมรสกรุบๆ มันๆ ของไข่ผำ คล้ายๆ เคี้ยวไข่กุ้งที่หน้าซูชิ เสิร์ฟคู่กับซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศ หรือแกงไข่ผำ ไข่เจียวไข่ผำ ยำไข่ผำและผัดไข่ผำ ที่ยังเป็นที่นิยมของชาวอีสานมาจนถึงปัจจุบัน
1 ก.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.กฤตยา กำลังทวี บรรณารักษ์ปฏิบัติการ กศน.จังหวัดชัยภูมิ พร้อม น.ส.หลิงฟ้า ขันติรัตน์ รอง ผอ. สำนักงาน กศน. จังหวัดชัยภูมิ ได้สาธิตวิธีการเลี้ยงไข่ผำและทำเมนูอาหารสุดแซ่บของเด็ดอีสานให้ชิม ทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ชาวบ้านและผู้สนใจ ดูวิธีการเลี้ยงไข่ผำ ในกะละมังพลาสติก ที่บริเวณศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดชัยภูมิ โดยผำหรือไข่ผำนั้น เป็นวัชพืชน้ำขนาดเล็กที่สุดมีดอก พบได้ในเขตประเทศอบอุ่นและประเทศไทยพบแพร่กระจายในทุกภาคตามแหล่งน้ำนิ่งต่างๆโดยเฉพาะสระน้ำหรือบ่อน้ำขนาดเล็ก มักจะลอยอยู่บนผิวน้ำ โดยไข่ผำนั้นเต็มไปด้วยโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า3 โดยนักโภชนาการเริ่มมองว่า ไข่ผำนั้นอาจจะไปเป็นซูเปอร์ฟูด(superfood)ใหม่ของโลก ไข่ผำนั้นที่นิยมนำมาประกอบอาหารเช่น แกงไข่ผำ ไข่เจียวไข่ผำ ยำไข่ผำและผัดไข่ผำ และยังเป็นที่นิยมของชาวอีสานที่จะหามารับประทาน แต่ช่วงหลังแหล่งน้ำไม่ค่อยมีน้ำ และบางแหล่งน้ำไม่สะอาดทำให้ไข่ผำจะไม่เกิดเพราะไข่ผำน้ำจะเกิดและอาศัยในน้ำที่สะอาดเท่านั้น
ไข่ผำ เป็นพืชน้ำที่มีขนาดเล็กมาก คล้ายตะไคร่ หรือสาหร่ายน้ำ รูปร่างเป็นเม็ดกลมเล็กๆ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.1-0.2 มิลลิเมตร มีสีเขียวลอยอยู่บริเวณผิวน้ำเป็นแพ มักเกิดในธรรมชาติที่น้ำใส นิ่ง เช่น บึง หนองน้ำ มักเจริญเติบโตอยู่บนผิวน้ำ รูปร่างลักษณะคล้ายรูปไข่ จัดเป็นพืชดอกไม่มีรากและใบ ขึ้นตามแหล่งน้ำธรรมชาติ จัดเป็นผักพื้นบ้านที่คนชนบทภาคเหนือและอีสานนิยมใช้เป็นอาหาร มีรสมัน มีโปรตีนสูงมาก ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักแห้ง โดยปริมาณโปรตีนคล้ายคลึงกับถั่วเหลือง ซึ่งสูงกว่าไข่และเนื้อ แต่ปริมาณโปรตีนจะไม่สม่ำเสมอขึ้นกับแหล่งที่อยู่
ส่วนการเลี้ยงไข่ผำนั้น เราจะเริ่มตั้งแต่เตรียมหากะละพลาสติดขนาด 100 ซ.ม.มาวางในที่ร่มรำไร จากนั้นเติมน้ำสะอาดลงไปในกะละมังและให้ปรับสภาพน้ำโดยเติมหัวเชื่อEM1ช้อนแกงและใส่น้ำหมักชีวภาพที่เป็นกลุ่มไนโตรเจนสูง เช่นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง หรือจุลินทร์นมสด น้ำหมักกากถั่ว เป็นต้น
ประมาณ1ช้อนแกง และใส่ไข่ผำที่เรามีลงไปในกะละมัง2-5ขีด เปลี่ยนน้ำทุก7วัน พร้อมใส่จุลินทรี์สังเคราะห์แสงลงไป1ช่อนแกงด้วย ใช้เวลาการเพาะเลี้ยงเพียง 15 วัน ก็สามรถตักนำมารับประทาน หรือขายได้ ตอนนี้ไข่ผำราคาขายตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 40 บาท ซึ่งยังมีตลาดรองรับอีกอยู่จำนวนมาก
น.ส.หลิงฟ้า ขันติรัตน์ รอง ผอ. สำนักงาน กศน. จังหวัดชัยภูมิ บอกว่าไข่ผำ มีคุณค่าทางอาหารมากมาก โดยในไข่ผำ 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 8 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย เส้นใย 0.3 กรัม แคลเซียม 59 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม เหล็ก 6.6 มิลลิกรัม และยังมีวิตามินเอ บีหนึ่ง บีสอง วิตามินซี ไนอะซิน และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นหลายชนิด เช่น ลิวซีน ไลซีน วาลีน ฟีนิวอลานีน ธีโอนีน ไอโซลิวซีน และมีเบต้าแคโรทีนสูงมาก คลอโรฟิลล์ในผำ เป็นสารสีเขียวที่พบในพืช
โครงสร้างมีลักษณะคล้ายฮีมที่อยู่ในฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในเลือด มีรายงานการวิจัยถึงฤทธิ์ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รักษาอาการท้องผูก ฤทธิ์ต้านการติดเชื้อ ช่วยปรับสภาพร่างกายให้เป็นด่างในคนที่มีสภาวะเครียด หรือร่างกายมีความเป็นกรดจากอาหาร และช่วยรักษาภาวะซีดในคนที่เป็นโรคโลหิตจาง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายชนิดทั้ง นำไข่ผำที่เราได้มา มาล้างน้ำให้สะอาด 1 – 2 น้ำ ตำพริกแกง โดยมีพริกแห้ง หอม กระเทียม ตะไคร้ ตำลงพร้อมกัน ให้พอแตกไม่ให้ละเอียดเกินไป จากนั้นนำพริกแกงลงไปผัดในหม้อเมื่อพริกแกงเริ่มหอมเราก็ใส่ไข่ผำลงไปผัด ใส่น้ำปลานิดน้ำปลาร้าหน่อย ถ้าแห้งเกินไปเติมน้ำเปล่าลงไปนิดนึงเมื่อไข่ผำสุก ให้ใส่ใบมะกูดซอย และใบแมงลักลงไป เท่านี้ก็พร้อมรับประทาน ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ หรือจะข้าวเหนียว ก็อร่อยไม่แพ้กัน
ซึ่งหากนำไข่ผำตอกไข่ใส่ ปรุงรสด้วยน้ำปลาซีอิ๊วและพริกไทย ตีให้เข้ากัน ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อน เทไข่ลงในกระทะก็จะได้ไข่เจียวหอมๆ พร้อมความมันด้วยฟันกระทบสัมผัสเสียงในช่องปากดัง กรุบกรับ มันๆ ของไข่ผำ คล้ายๆ เคี้ยวไข่กุ้ง หรือไข่ปลาแซลมอน ที่บนหน้าอาหารญี่ปุ่น เสิร์ฟคู่กับซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศ ช่างเข้ากัน ซึ่งในอนาคตอาจจะได้รับความนิยมไปสู่สากลได้ไดยไม่แพ้รสชาติของอูมามิ