เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยถึงแนวทางผู้ติดเชื้อโควิด-19 พื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล กลุ่มที่ไม่มีอาการว่า สามารถกักอยู่บ้านเพื่อการแยกกักที่บ้าน หรือ โฮม ไอโซเลชั่น (Home Isolation) ขณะนี้มีผู้ป่วยที่รอเตียงวันละ 400-500 รายใหม่ ตกค้างเกือบ 1,000 ราย แนวทางผู้ป่วยแยกกักที่บ้าน หากไม่จำเป็นก็จะไม่อยากใช้ เพราะต้องมีการดูแลผู้ป่วยใกล้ชิดเพื่อป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ 1.หากไม่มีระบบติดตามที่ดี หากผู้ป่วยอาการแย่ลง ก็จะไม่มีคนดูแลส่งต่อ ซึ่งขณะนี้มีผู้ป่วยต้องรอเตียง ก็จะเหมือนการแยกกักโดยปริยาย ซึ่งตรงนี้ต้องมีการดูแลเพื่อไม่ให้อาการแย่ลง 2.หากแยกกักไม่ดี คนที่บ้านก็จะติดเชื้อ ดังนั้น หากเรามีการดูแล ก็จะป้องกันการติดเชื้อหรืออาการที่รุนแรงมากขึ้นได้ นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า เราจะใช้สำหรับผู้ป่วยระหว่างรอเตียงเพื่อการรักษา หรือผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาล (รพ.) แล้วอาการดีขึ้นใน 10 วันก็จะมีแนวทางให้กลับมาแยกกักที่บ้านต่ออีก 4 วัน แต่จะไม่ใช้กับทุกรายเพราะว่าเราต้องดูบริบทของผู้ป่วย บริบทสิ่งแวดล้อมและความสมัครใจของผู้ป่วยเป็นหลัก ซึ่งขณะนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) อนุมัติวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน คือ 1.การซื้ออุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยแยกกัก เครื่องวัดระดับออกซิเจนในเลือด ที่วัดอุณหภูมิร่างกาย ยาดูแลรักษา ยาฟาวิพิราเวียร์ ระบบการดูแลผู้ป่วยทางไกล (Tele Net) และ 2.สนับสนุนโรงพยาบาลวันละ 1,000 บาทต่อราย เพื่อเป็นค่าติดตามและค่าอาหาร 3 มื้อส่งให้กับผู้ป่วย ทั้งนั้น ในวันนี้จะมีการหารือกับ รพ. ว่าอาจจะมีแนวทางซื้อเหมารายหัวร้านอาหาร หรือระบบขนส่งต่างๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือกันและกันได้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รพ.ราชวิถี ได้ศึกษาแนวทางแยกกักที่บ้านในผู้ป่วยสีเขียวที่สมัครใจ จำนวน 18 ราย ซึ่งมีผู้สูงอายุ 70 ปีด้วย พบว่า มี 1 รายอาการเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ต้องส่งต่อเข้า รพ. เพื่อรักษาตัว ส่วนที่เหลือเมื่อครบ 14 วันก็ครบกำหนดแยกกักโดยไม่มีอาการใดๆ แนวทางการปฏิบัติตัวเมื่ออยู่บ้าน คือ 1.วัดระดับออกซิเจนวันละ 2 ครั้ง 2.รายงานแพทย์ผ่านระบบวิดีโอคอล วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีการคัดกรองเบื้องต้นง่ายๆ ทำได้ทุกวัน ด้วยการให้ผู้ป่วยวัดระดับออกซิเจนในเลือดก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อดูว่าค่าลดหรือเพิ่มอย่างไร และหากจำเป็นต้องใช้เครื่องเอกซเรย์ ก็จะมีรถพยาบาลมารับที่บ้าน นอกจากนี้ จะหารือร่วมกับเอ็นจีโอ หรือชุมชนเพื่อจัดทำระบบสังคม (Community Isolation) ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยแยกกักในคอนโดมิเนียม อยู่บ้านเดี่ยว หรือมีห้องแยกของตัวเอง ซึ่งก็มีบางแห่งที่ทำไปแล้ว เราต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อมาดูแลในส่วนนี้ด้วย ไปจนถึงขอความร่วมมือกับนิติคอนโดมิเนียม เพื่อดูแลผู้ป่วยที่แยกกักที่บ้าน” อธิบดีกรมการแพทย์กล่าว นพ.สมศักดิ์ คาดตัวเลขผู้ป่วยที่สามารถใช้แนวทางแยกกักที่บ้าน เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ เช่นวันนี้ (28 มิ.ย.64) กรุงเทพฯ มีการติดเชื้อ 1,400 ราย คาดว่าครึ่งหนึ่งคือ ผู้ป่วยอาการสีเขียว ประมาณ 700 ราย ซึ่งในส่วนนี้ก็จะมีผู้ที่ไม่สามารถแยกกักได้ แต่ก็จะมีส่วนหนึ่งที่ไม่อยากนอน รพ. อยากอยู่บ้านมากกว่า ก็ใช้ระบบดูแลตัวเองที่บ้าน แต่ทุกคนจะต้องขึ้จทะเบียนกับ รพ.เอาไว้ เพื่อติดตามอาการ นอกจากนี้ จะหารือร่วมกับเอ็นจีโอ หรือชุมชนเพื่อจัดทำระบบสังคม (Community Isolation) ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยแยกกักในคอนโดมิเนียม อยู่บ้านเดี่ยว หรือมีห้องแยกของตัวเอง ซึ่งก็มีบางแห่งที่ทำไปแล้ว เราต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อมาดูแลในส่วนนี้ด้วย ไปจนถึงขอความร่วมมือกับนิติคอนโดมิเนียม เพื่อดูแลผู้ป่วยที่แยกกักที่บ้าน” อธิบดีกรมการแพทย์กล่าว นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า จากการศึกษาของต่างประเทศ พบว่าการแยกกักที่บ้าน จะมีผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามประมาณร้อยละ 10 ขณะนี้ต้องบอกว่าบุคลากรทางการแพทย์ทำงานกันหนักมาก อัตราผู้ป่วย 1,000 ราย จะมีผู้ต้องการเตียงไอซียู 30 ราย ดังนั้น หากเฝ้าระวังควบคุมโรคดี ผู้ป่วยลดลง การรักษาก็จะเบาลง ดังนั้น เมื่อมีแนวทางแยกกักตัวแล้ว ก็ขอให้ผู้ป่วยปฏิบัติตาม ซึ่งเรามีพระราชบัญญัติโรคติดต่อ รองรับในกรณีที่พบว่าไม่ปฏิบัติตามแนวทางด้วย “หลายคนไลน์มาบอกว่า เจ้าหน้าที่เหนื่อยล้า ทำหน้างาน ขยายหอผู้ป่วย ทำฮอสพิเทล ซึ่งจำนวนคนไม่ได้เพิ่มขึ้น รพ.หลายแห่ง ขอเปิดฮอสพิเทลเพิ่ม เพื่อรองรับผู้ป่วย ดังนั้น ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพื่อลดอัตราการติดเชื้อให้มากที่สุด” นพ.สมศักดิ์ กล่าวและว่า การคาดตัวเลขผู้ป่วยที่สามารถใช้แนวทางแยกกักที่บ้าน เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ เช่นวันนี้ (28 มิ.ย.64) กรุงเทพฯ มีการติดเชื้อ 1,400 ราย คาดว่าครึ่งหนึ่งคือ ผู้ป่วยอาการสีเขียว ประมาณ 700 ราย ซึ่งในส่วนนี้ก็จะมีผู้ที่ไม่สามารถแยกกักได้ แต่ก็จะมีส่วนหนึ่งที่ไม่อยากนอน รพ. อยากอยู่บ้านมากกว่า ก็ใช้ระบบดูแลตัวเองที่บ้าน แต่ทุกคนจะต้องขึ้จทะเบียนกับ รพ.เอาไว้ เพื่อติดตามอาการ นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า สำหรับกลุ่มผู้ติดเชื้อที่สามารถแยกตัวได้ที่บ้าน ต้องมีอายุน้อยกว่า 60 ปี ป่วยไม่มีอาการ สุขภาพแข็งแรง อยู่คนเดียว หรือ มีผู้อยู่ร่วมที่พักไม่เกิน 1 คน ไม่มีภาวะอ้วน ดัชนีมวลกาย มากกว่า 30 กก./ม.2 หรือ น้ำหนักตัวมากกว่า 90 กก. และที่สำคัญที่สุด ไม่ป่วย โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคไตเรื้อรัง (CKD) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ และโรคอื่นๆ ตามดุลพินิจของแพทย์ และผู้ป่วยสมัครใจ โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ 1.ห้ามผู้ใดมาเยี่ยมบ้าน 2.ไม่เข้าใกล้หรือสัมผัสกับผู้สูงอายุหรือเด็กอย่างเด็ดขาด 3.แยกห้องพัก ของใช้ส่วนตัวกับผู้อื่น หากแยกห้องไม่ได้ ควรแยกบริเวณที่นอนให้ห่างจากคนอื่นมากที่สุด และเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ไม่ควรนอนร่วมกันในห้องปิดที่ใช้เครื่องปรับอากาศ 4.รับประทานในห้องของตนเอง 5.สวมหน้ากากอนามัย หรือ หน้ากากผ้า ตลอดเวลาที่จะออกมาจากห้องที่พักอาศัย 6.ล้างมือด้วยสบู่หรือทำความสะอาดมือด้วย Alcohol gel ทุกครั้งที่จำเป็นจะต้องสัมผัสกับผู้อื่นหรือหยิบจับของที่จะต้องใช้ร่วมกับผู้อื่น 7.แยกซักเสื้อผ้า ผ้าขนหนู และเครื่องนอน ด้วยน้ำและสบู่หรือผงซักฟอก ควรใช้ห้องน้ำแยกจากผู้อื่น หากเลี่ยงไม่ได้ ให้ใช้คนสุดท้าย ปิดฝาชักโครกก่อนกดน้ำและหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ