จากแนวทางนโยบายที่รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาพลังงานไทยในด้านต่าง ๆ อย่างยั่งยืน เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน การสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญในทุกด้าน จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในการเดินหน้าเข้าสู่นโยบาย “พลังงานในยุค New Normal”
โดย “นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า นโยบายพลังงานในยุค New Normal ภายใต้การขับเคลื่อนของ สนพ. นั้น นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID - 19) มา สนพ. ได้มีการปรับแผนการทำงานภายใต้มาตรการของภาครัฐ และนโยบายของกระทรวงพลังงาน ทั้งในรูปแบบ Social Distancing และดำเนินการ Work from Home ตามมาตรการ ศบค. โดยมุ่งเน้นการทำงานผ่านช่องทางสื่อออนไลน์มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 แต่ยังคงมุ่งเน้นที่คุณภาพและประสิทธิภาพของงานที่ยังคงเดินหน้าเต็มกำลังในการจัดทำนโยบายพลังงานต่างๆ บนพื้นฐานของความปกติใหม่ หรือ New Normal โดยมีระบบการจัดการด้านเทคโนโลยีระบบสื่อสารสารสนเทศ (ICT) เข้ามาช่วยสนับสนุนงานในหลายๆด้าน
ดังนั้น ในอนาคตหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น สนพ.ก็มีความพร้อมที่จะรับมือเพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์ส่งผลกระทบต่อการจัดหาพลังงาน เนื่องจากได้ประเมินสถานการณ์เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานในด้านต่างๆ ของประเทศไว้แล้ว อาทิ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ไฟฟ้าโดยทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปจากที่พยากรณ์ไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) และการมองอนาคตต้นทุนพลังงานหมุนเวียนที่มีแนวโน้มต่ำลง ประกอบกับการเข้ามาอันรวดเร็วของเทคโนโลยีด้านไฟฟ้าต่าง ๆ (Disruptive Technology) ที่กระทบต่อการผลิตและการใช้ไฟฟ้า จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทบทวนการบริหารปริมาณไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) และจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ในปี 2022 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการใช้พลังงานและรองรับยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ สนพ. ยังมีการเตรียมการปรับนโยบายพลังงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง แต่ยังคงมุ่งเน้นความมั่นคงด้านพลังงาน เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการจัดหาพลังงานของประเทศ จะต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการแข่งขัน โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน การปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัยเพื่อสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงาน มุ่งเน้นความรวดเร็วและความคุ้มค่า ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการใช้พลังงาน เพิ่มบทบาทของผู้บริโภคในระบบพลังงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมธุรกิจใหม่ เช่น Peer to Peer: P2P การผลิตไฟฟ้าใช้เองและขายเข้าระบบ (Prosumer) เป็นต้น
นายวัฒนพงษ์ กล่าวถึงทิศทางนโยบายพลังงานในยุค New Normal ในอนาคตว่า ด้วยกระแสโลกเกี่ยวกับ การรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างมาก อาทิ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ และองค์กรในประเทศ ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ต่างร่วมมือรณรงค์ให้มีการตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งประกาศและออกมาตรการที่เป็นรูปธรรม เพื่อช่วยกันลดโลกร้อน ลดการปลดปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ “ก๊าซเรือนกระจก” ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงต้องมีการปรับตัวในเรื่องนี้เช่นกัน โดยจะต้องมีนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด หรือ พลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะมีการปรับเป้าหมายของการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า และความร้อนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการสนับสนุนประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างเข้มข้นเช่นเดียวกัน
อีกทั้ง สนพ. กำลังเตรียมการร่วมกับกระทรวงพลังงาน ในการจัดทำแผนพลังงานแห่งชาติ (National Energy Plan) เพื่อขับเคลื่อนแผนพลังงานทุกด้าน โดยเฉพาะนโยบายพลังงานสะอาด รวมถึงการปรับโครงสร้างกิจการพลังงานที่จะรองรับ Energy Transition ตามแนวทาง 4D1E ได้แก่ 1.Digitalization 2.Decarbonization
3.Decentralization 4.De-regulation และ 5.Electrification สำหรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านพลังงานของประเทศไทยที่สำคัญกำลังดำเนินการปัจจุบัน ได้แก่ 1) การขับเคลื่อนการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 เพื่อการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ให้เป็นรูปธรรมภายในปี 2564 2) การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศ ซึ่งให้สอดคล้องตามนโยบาย 30@30 เพื่อก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน
ที่สำคัญของโลก โดยมีกำลังการผลิตรถ (Zero Emission Vehicle: ZEV) อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตในปี 2573 (2030) เพื่อจะนำพาประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society) ในอนาคต โดยกระทรวงพลังงาน เข้าไปสนับสนุนในเรื่องของการส่งเสริมสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) และการพัฒนาแบตเตอรี่ใน EV 3) การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีมาตรการส่งเสริมเพื่อจูงใจให้เอกชนเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ตามมาตรการ (Feed in Tariff: FiT) รวมทั้งการสนับสนุนให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าตามโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชน และ 4.การจัดตั้ง “ศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ” (National Energy Information Center : NEIC) เพื่อรองรับการใช้ ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการขับเคลื่อนแผนพลังงานของประเทศไทย ซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลพลังงานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย สอดรับการปฏิรูปประเทศ Thailand 4.0 เพื่อสร้างฐานนวัตกรรมในอนาคต
นายวัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มสถานการณ์การใช้พลังงานครึ่งปีหลังนั้น จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา และยังต่อเนื่องมาถึงปี 2564 ได้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคม จนรัฐบาลต้องออกมาตรการต่าง ๆ มาเยียวยา ช่วยเหลือภาคสาขาต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ เชื่อว่าภายหลังที่ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในวงกว้างแล้วและหากสถานการณ์แพร่ระบาดคลี่คลายลง รวมถึงการเปิดประเทศคาดว่าจะเกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคครัวเรือน ซึ่งส่งผลให้เกิดการกลับมาของการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของ สนพ. จะติดตามปัจจัยต่าง ๆ ที่จะส่งผลต่อการใช้พลังงานของประเทศอย่างใกล้ชิด อาทิ ราคาน้ำมันตลาดโลก การใช้ไฟฟ้าภาคส่วนต่าง ๆ มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และไม่ว่าวันนี้ หรือในอนาคตสถานการณ์โลกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เชื่อมั่นว่า สนพ. จะบริหารจัดการพลังงานของประเทศได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามประชาชนผู้ใช้พลังงานเองก็ยังต้องใช้พลังงานอย่างประหยัด และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย เพราะถึงแม้ว่าภาครัฐจะดูแลจัดหาพลังงานให้มีความมั่นคงก็ตาม หากมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ภาครัฐจำเป็นต้องมีการจัดหาพลังงานเพิ่มตามความต้องการด้วย ซึ่งในการจัดหาพลังงานย่อมมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานในอนาคตได้ ดังนั้นการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ นอกจากจะสามารถช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานแล้ว ยังทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลดลง และยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างสรรค์สังคมอย่างยั่งยืนด้วย

