สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ที่ปรึกษาอาวุโสด้านโรคโควิด-19 แห่งทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ เปิดเผยถึงสถานการณ์ความคืบหน้าในโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้แก่ประชาชน โดยระบุว่า มีแนวโน้มที่ทางการสหรัฐฯ จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้ได้ร้อยละ 70 ของจำนวนประชากรทั้งหมด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ภายในวันที่ 4 ก.ค. นี้ ซึ่งเป็นวันชาติสหรัฐฯ ตามที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศไว้ โดยนายเจฟฟรีย์ ซีเอ็นท์ส ที่ปรึกษาอาวุโสด้านโรคโควิด-19 แห่งทำเนียบขาว กล่าวว่า อาจต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์หลังจากวันที่ 4 ก.ค.ไปแล้ว ที่จะฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้บรรลุเป้าหมายได้ พร้อมกันนี้ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านโรคโควิด-19 แห่งทำเนียบขาว ยังระบุด้วยว่า เหตุที่ทำให้ทางการสหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ไม่ได้มาจากการขาดแคลนวัคซีน แต่เป็นเพราะบรรดากลุ่มคนหนุ่มสาวชาวอเมริกันที่มีอายุระหว่าง 18 – 26 ปี มีความรู้สึกว่าโรคโควิด-19 ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อพวกเขา และยังมีความเห็นว่า คนกลุ่มอื่นๆ สมควรได้รับวัคซีนมากกว่าพวกเขา จนทำให้เกิดความลังเล และไม่กระตือรือร้นที่จะรับวัคซีน ขณะเดียวกัน บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ รวมถึง ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อได้ออกมาเตือนว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งพบการกลายพันธุ์และระบาดครั้งแรกในอินเดีย กำลังจะเป็นภัยคุกคามการแพร่ระบาดในสหรัฐฯ จนน่าวิตก และจะส่งผลให้กลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในการการกำจัดโรคโควิด-19 ให้หมดไปจากสหรัฐฯ ด้วย