กมธ.แก้ปัญหาความยากจน วุฒิสภา ไม่เห็นด้วยแก้รธน. ม.144 และ ม.185 ชี้เป็นหัวใจสำคัญของรธน.ฉบับปราบโกง ด้าน “สังศิต” จ่อแซงชั่นลงมติ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา นำโดยนายสังศิต พิริยะสังสรรค์ ส.ว. ในฐานะประธานกมธ. แถลงว่า วานนี้ (21 มิ.ย.) คณะกมธ. มีการประชุมหารือเกี่ยวกับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 13 ฉบับ โดยที่ประชุมมีมติไม่เห็นด้วยกับการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และมาตรา 185 เนื่องจากบทบัญญัติทั้ง 2 มาตราดังกล่าว ห้ามไม่ให้ส.ส. และ ส.ว. เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือการให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการใดๆของหน่วยงานรัฐ ซึ่งรัฐธรรมนูญ 40 และ 50 มีการกำหนดบทบัญญัติไว้ และแม้ว่าการเสนอแก้ไขครั้งนี้ไม่ได้ทำลายหลักการ แต่มีการตัดทอนบทลงโทษส.ส. ส.ว. คณะรัฐมนตรี (ครม.) และข้าราชการประจำ รวมถึงตัดข้อห้าม ส.ส. และส.ว. เข้ามามีส่วนในการใช้จ่ายหรืออนุมัติงบประมาณ และการเข้ามาแทรกแซงการทำงานของข้าราชการประจำ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากบทบัญญัติส่วนที่ถูกเสนอตัดออกไป 2 มาตรา ในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันการุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐธรรมนูญ 60 ที่ได้รับสมญานามว่า “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง” นอกจากนี้ บทบัญญัติในมาตรา 185 ยังสอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชั่นอีกด้วย คณะกมธ.ฯ มองว่าปัญหาใหญ่ที่สำคัญที่สุดของไทยมี 3 เรื่อง คือ การศึกษา ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ และการทุจริตคอร์รัปชั่น ดังนั้น ปัญหาเหล่านี้จะแก้ไขไม่ได้หากปล่อยให้มีการโกงการทุจริตเกิดขึ้น นายสังศิต กล่าวอีกว่า การลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะกมธ.ฯ จะมีมาตรการแซงชั่นอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา อาจจะเป็นเรื่องของการงดออกเสียง การลงมติไม่เห็นด้วย หรือการอยู่ในห้องประชุมแต่ไม่กดปุ่มลงคะแนนใดๆ ด้านนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ส.ว. กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 185 เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวม ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ระบุในอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านการคอร์รัปชั่น ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคีต้องตอบรับหลักการดังกล่าว รัฐธรรมนูญ 60 จึงบัญญัติไว้ เมื่อถามว่า การเสนอแก้ไขมาตรา 144 และมาตรา 185 อยู่ในญัตติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐ แสดงว่าส.ว.ในคณะกมธ.ฯจะไม่รับร่างดังกล่าวใช่หรือไม่ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. กล่าวว่า เป็นความลำบากใจของกมธ. และส.ว.หลายคน เพราะมาตรา 144 และมาตรา 185 รวมอยู่ใน 5 ประเด็นใหญ่ในญัตติของพรรคพลังประชารัฐ เราแสดงจุดยืนในการแก้ไข 2 มาตราดังกล่าว ซึ่งการลงมาแถลงแบบนี้คงพิจารณากันได้ว่าการลงมติจะเป็นอย่างไร แต่การตัดสินใจก็เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละท่าน ซึ่งต้องดูการเสนอญัตติของผู้เสนอญัตติก่อน ส่วนประเด็นอื่นๆของพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะมาตรา 272 ตัดอำนาจส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นเรื่องของส.ว.แต่ละคนที่จะมีมุมมองทั้งเหมือนและแตกต่างกัน