ตามที่มีสื่อมวลชนบางสื่อ ได้เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom มีเนื้อหาระบุว่า รถไฟทางคู่สายเหนือก่อนหน้านั้น ในสมัย คสช. ที่มีซุปเปอร์บอร์ด(คณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ) ได้มีมติการแบ่งสัญญาการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเหนือเป็น 7 สัญญา แต่หลังจากนั้นมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามา มีผลให้คณะกรรมการซุปเปอร์บอร์ดต้องสิ้นสุดลง ทาง รฟท. ถือโอกาสทำสัญญาจ้างที่ปรึกษา ศึกษาทบทวนการแบ่งสัญญา การก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเหนือมาเหลือ 3 สัญญา โดยรวมระบบอาณัติสัญญาณเข้าด้วยกัน นั้น การรถไฟฯ เห็นว่าข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และอาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนให้กับพี่น้องประชาชน จึงขอเรียนชี้แจงและให้ข้อมูลที่ถูกต้องดังนี้ การรถไฟฯ ได้ทบทวนการแบ่งสัญญาจากประสบการณ์ที่ได้ดำเนินการมาในอดีต ซึ่งมี 2 แนวทาง โดยแนวทางแรกเป็นการรวมงานอาณัติสัญญาณฯไว้ในสัญญาเดียวกันกับงานโยธา เช่น โครงการทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น และโครงการทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย แนวทางที่สองเป็นการแยกงานอาณัติสัญญาณฯออกจากงานโยธา คือ โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ซึ่ ง ประกอบด้วยสัญญางานโยธา 10 สัญญา และสัญญางานอาณัติสัญญาณฯ 3 สัญญา รวม 13 สัญญา โดยจากผลการดำเนินการของโครงการทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น และโครงการทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ที่รวมงานอาณัติสัญญาณฯไว้ในสัญญาเดียวกันกับงานโยธานั้น ไม่มีปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่ ไม่มีปัญหาเรื่องการประสานการทำงานระหว่างผู้รับเหมางานโยธาและผู้รับเหมางานอาณัติสัญญาณฯ และไม่มีปัญหาเรื่องความล่าช้าของการก่อสร้าง สามารถเปิดใช้งานให้บริการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพราะเป็นผู้รับเหมารายเดียวกัน ทำให้ไม่ต้องรองานส่วนใดส่วนหนึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้วถึงจะทำการส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับเหมาในกระบวนการถัดไป แต่จากผลการดำเนินการของโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ที่แยกงานอาณัติสัญญาณฯออกจากงานโยธาตามแนวคิดของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง (คกจ. หรือ ซุปเปอร์บอร์ด) พบปัญหาที่เกิดขึ้นหลายประเด็น เช่น การเริ่มต้นงานของผู้รับเหมางานอาณัติสัญญาณฯ ล่าช้า เนื่องจากการจัดซื้อจัดจ้างไม่เป็นไปตามแผนได้ผู้รับจ้างงานโยธาก่อนผู้รับจ้างงานอาณัติสัญญาณฯ 2 ปี ซึ่งตามหลักการต้องได้ผู้รับเหมางานโยธาและงานอาณัติสัญญาณฯพร้อมกัน จึงส่งผลทำให้ผู้รับเหมางานโยธาขาดข้อมูลในงานที่เกี่ยวกับการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณฯ และเป็นเหตุให้ผู้รับเหมางานโยธาขอขยายเวลาการก่อสร้าง อีกทั้งส่งผลให้การเปิดให้บริการเดินรถต่อประชาชนล่าช้าออกไป เพราะต้องรอจนกว่าผู้รับเหมางานอาณัติสัญญาณฯ ทำงานแล้วเสร็จ ซึ่งทำให้รัฐเสียประโยชน์ ส่วนเรื่องการแบ่งสัญญาโครงการสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็น 3 สัญญานั้น จากประสบการณ์การดำเนินโครงการในอดีตที่ผ่านมาเห็นว่าการแบ่งน้อยสัญญามีข้อดีมากกว่าการแบ่งเป็นสัญญาย่อยจำนวนมาก ด้วยเหตุผลดังนี้ 1. ด้านบริหารสัญญา การแบ่งสัญญาออกเป็นสัญญาย่อยหลายสัญญาทำให้การบริหารจัดการโครงการจะเกิดความทับซ้อน เช่น -การขออนุมัติทำงานต้องเสนอทุกสัญญา ได้แก่ การขออนุมัติแผนงานก่อสร้าง, การประกันภัยในงาน, วัสดุและฝีมือการทํางาน, เครื่องจักรก่อสร้าง อุปกรณ์ของผู้รับจ้าง งานชั่วคราว, สำนักงานสนาม, ที่พักบริเวณหน้างาน, Organization Chart and CVs , Geotechnical Investigation Report, Survey Report, Testing Lab, Quality Control Programme, การประสานงานกับส่วนราชการและผู้รับจ้างรายอื่น เป็นต้น -การควบคุมงาน อาจมีการวินิจฉัยสัญญาแตกต่างกันในหัวข้อการพิจารณาเดียวกัน -การบริหารวัสดุก่อสร้างในสัญญาที่กำหนดให้ใช้วัสดุที่ได้จากการขุดมาใช้เป็นวัสดุถม การแบ่งหลายสัญญาอาจทำให้ไม่มีงานขุดกับงานถมอยู่ในสัญญาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นสัญญาขนาดใหญ่ซึ่งมีงานขุดและงานถมอยู่ในสัญญาเดียวกันก็สามารถนำวัสดุงานขุดไปใช้เป็นวัสดุงานถมได้ ทำให้ประหยัดงบประมาณค่าก่อสร้าง 2. ด้านงบประมาณ ในกรณีที่แบ่งเป็นสัญญาใหญ่สามารถลดค่าใช้จ่ายค่าดำเนินการ เช่น ค่าใช้จ่ายในการเตรียมการ ค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายสำนักงานสนาม ค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมบุคลากรควบคุมงาน ค่าใช้จ่ายเครื่องจักร ยานพาหนะ และค่าใช้จ่ายการจ้างที่ปรึกษา PMC เป็นต้น ดังนั้น รฟท.จึงเห็นควรแบ่งสัญญาโครงการทางคู่สายเด่นชัยฯ ออกเป็น 3 สัญญา รวมงานอาณัติสัญญาณฯ และรายงานกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาเสนอ ครม. อนุมัติโครงการ ครั้งที่ 2 และ ครม. มีมติอนุมัติโครงการ เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2563 โดยแบ่งเป็น 3 สัญญา ตามที่ ครม. ได้เคยอนุมัติไว้แล้วตั้งแต่ครั้งแรก เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2561 สำหรับการจัดแบ่งสัญญาสายเหนือเป็น 7 สัญญา ที่มีงานโยธา 6 สัญญา และงานอาณัติสัญญาณ 1 สัญญาโดย คกจ. (คณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง หรือซุปเปอร์บอร์ด) ที่แต่งตั้งโดยคำสั่งหัวหน้าคณะ คสช. นั้น ยังไม่มีการรายงานผลการพิจารณาดังกล่าวจนกระทั่ง คกจ. ถูกยกเลิกตามคำสั่งที่ 9/2562 ของหัวหน้าคณะ คสช. การรถไฟฯ จึงขอเรียนให้ทราบอีกครั้งว่า การดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของนี้มีความโปร่งใส มีกระบวนการตรวจสอบการดำเนินการอย่างเปิดเผยในทุกขั้นตอน และเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการ และข้อกฎหมายทุกประการ โดยมุ่งเน้นและยึดถือประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน และประเทศชาติเป็นสำคัญ