ASW เตรียมความพร้อมร่วมกับ “Bitkub” เรียบร้อยแล้ว เพิ่มทางเลือกในการแลกเงินดิจิทัลเป็นเงินบาท เพื่อซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม บิ๊กบอส “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” หวังขยายฐานลูกค้ากลุ่ม New Gen พร้อมเปิดตัวใช้บริการเมื่อ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) ผู้พัฒนาอสังหาฯ รุ่นใหม่ เติบโตด้วยกลยุทธ์ “Best Choice” เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Bitkub) ในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของบ้านและคอนโดมิเนียมทุกโครงการในเครือ ผ่านการแลกสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอเรนซี่ (Cryptocurrency) เป็นเงินบาท เพื่อใช้ในการซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมในเครือแอสเซทไวส์ โดยลูกค้าสามารถแลกเหรียญคริปโทฯ ผ่าน Wallet ของบิทคับซึ่งเตรียมความพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดธุรกิจและปรับตัวสู่นวัตกรรมทางการเงินสมัยใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
โดยความร่วมมือกันในครั้งนี้เกิดจากการเล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งปัจจุบัน Bitkub.com เป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในการแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดกว่า 1,200 ล้านบาท/วัน ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ควบคู่กับ ASW ที่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และเป็นผู้นำด้านแคมปัสคอนโดภายใต้แบรนด์เคฟ (KAVE) ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่เป็นกลุ่มนักศึกษาที่คุ้นเคยกับการใช้สกุลเงินคริปโทฯ ในชีวิตประจำวัน
ทั้งนี้ ASW ได้จัดตั้งบริษัท ดิจิโทไนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อรองรับการศึกษาและลงทุนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล (Digital Asset) และเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนไปของเทคโนโลยี โดยมุ่งความสนใจไปที่เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และพร้อมที่จะแต่งตั้งบริษัท ฟิวเจอร์คอมแพทเทเร่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาผู้ชำนาญการในการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล และทั้งหมดนี้ เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯรุ่นใหม่ในตลาด
“ปัจจุบัน ASW มียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 4,700 ล้านบาท ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2564 มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จคือโครงการ “เคฟ ทาวน์ ชิฟท์” (Kave Town Shift) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลัง มี 2 โครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้แก่ โครงการ “เคฟ ทียู” (Kave TU) มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และโครงการ “โมดิซ สุขุมวิท 50” (Modiz Sukhumvit 50) มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้จนถึงปี 2565 มั่นใจรายได้ในปี 2564 เติบโต 20% ตามเป้าที่วางไว้”
สำหรับโครงการใหม่ของแอสเซทไวส์ในปี 2564 บริษัทฯ มีการเปิดโครงการ “เคฟ ศาลายา” (Kave Salaya) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และยังเตรียมเปิดโครงการอื่นๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและแนวสูง มูลค่าโครงการรวม 9,700 ล้านบาท ในไตรมาส 2/64 บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่ “แอทโมซ บางนา” (Atmoz Bangna) มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ “เคฟ เอวา” (Kave Ava) มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท, โครงการ “โมดิซ ไรห์ม คลาวด์” (Modiz Rhyme Cloud) มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท, โครงการ “โมดิซ ศรีราชา” (Modiz Sriracha) มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท และโครงการบ้านภูริปุรี ลาดพร้าว 41 โฮมออฟฟิศ (Baan Puri Puri Ladproa 41 – Home Office) มูลค่าโครงการ 87 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในไตรมาส 1/64 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564) มีรายได้รวม 1,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 582 ล้านบาท หรือโตขึ้น 98.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 591 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท หรือ 361.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 69 ล้านบาท ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 48.5 % และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 25.7%