คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดแบบมาราธอนติดต่อกัน 3แห่งและใช้เวลานานถึง 6 วันของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”นับเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกตั้งแต่ก้าวขาเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งทั่วโลกต่างเฝ้าจับตามองว่าเขาจะแสดงบทบาทการเป็นผู้นำในเวทีโลกอย่างไรบ้าง? การประชุมสุดยอดของผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเจ็ดประเทศที่ร่ำรวยที่สุดที่เรียกกันว่า “กลุ่มประเทศ G7” เริ่มประเดิมเปิดฉากตั้งแต่วันที่ 11 จนถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2021 ซึ่งกอปรไปด้วยผู้นำของประเทศแคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น อังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้รัสเซียที่เคยร่วมอยู่ในกลุ่มนี้ถูกผลักดันออกไป สืบเนื่องมาจากรัสเซียบุกเข้าคุกคามยูเครนเมื่อปี 2014 ส่วนจีนทั้งๆที่มีประชากรมากที่สุดในโลกก็ตาม แต่กลับปรากฏว่ารายได้ถัวเฉลี่ยของประชากรมีค่อนข้างต่ำ จึงไม่อยู่ในข่ายระดับกลุ่ม G7 การประชุมสุดยอดครั้งนี้ได้จัดมีขึ้นใน เมืองคอร์นวอลล์ ใกล้ๆกับศูนย์เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ณ ประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ค่อนข้างเด่นชัดว่าคาแรกเตอร์การวางมาดผู้นำที่ดีของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เกี่ยวกับการออกงานเข้าร่วมกับนานาประเทศนั้น มิใช่เป็นของใหม่แต่อย่างใด สืบเนื่องมาจากการใช้ชีวิตอย่างทุ่มเทในตำแหน่งวุฒิสมาชิกมาอย่างยาวนานถึง 36 ปี มีส่วนทำให้เขามีความเชี่ยวชาญทางด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาเข้าดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการด้านการต่างประเทศ และตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการตุลาการของวุฒิสภา โดยมี “วุฒิสมาชิกเท็ด เคนเนดี”นักการเมืองรุ่นลายครามเข้ามาช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ อนึ่งการต้อนรับที่บรรดากลุ่มผู้นำประเทศ G7 ปฏิบัติต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั้น ช่างแสนจะแตกต่างไปจากการต้อนรับของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างสิ้นเชิง!!! ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการประชุมสุดยอด G7 เมื่อปี 2018 ที่ประเทศแคนาดาเป็นเจ้าภาพปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้แสดงพฤติกรรมที่แสนหยาบคายไม่น่ารักต่อบรรดาเพื่อนๆผู้นำสมาชิก G7 หลายๆครั้ง อาทิ ปาลูกอมใส่นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนีถึงสองครั้งสองครา แสดงพฤติกรรมน่าละอายพูดโพล่งขัดจังหวะในที่ประชุมอยู่เป็นประจำ และยังปฏิเสธที่จะเซ็นคำแถลงการณ์ร่วมในการประชุม G7 แถมเมื่อเสร็จสิ้นจากการประชุมแล้วเขายังโพสต์ลงทวิตเตอร์บูลลี่ “นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด” ของแคนาดาซึ่งเป็นประเทศเจ้าภาพว่า “เป็นผู้นำที่อ่อนแอและไม่ซื่อสัตย์” นอกเหนือจากนั้นแล้วอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังเพียรพยายามรบเร้าให้บรรดาผู้นำของกลุ่มประเทศ G7 เชิญประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน เข้าร่วมเป็นสมาชิกอีกด้วย ทั้งๆที่ต่างก็ตระหนักกันดีว่า สมาชิกในกลุ่มผู้นำ G7มองว่าประธานาธิบดีปูตินเป็นศัตรู!!! และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ “ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครอง” แห่งประเทศฝรั่งเศส เดินโอบไหล่คลอเคลียพูดคุยเจรจาไปกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน อยู่ตลอดเวลา และเขายังได้กล่าวต่อประธานาธิบดีไบเดนอีกด้วยว่า “ฝรั่งเศสต้องการจะให้ความร่วมมือกับนานาประเทศด้านการกำจัดโรคระบาดโควิด19 และปัญหาโลกร้อน” โดยแถลงต่อไปอีกว่า “นับว่าโชคดีอย่างยิ่งที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พร้อมที่จะให้ความสำคัญกับสองประเด็นใหญ่ๆนี้” อนึ่งเมื่อการประชุมสิ้นสุดลงแล้ว ก็ได้มีการร่วมลงนามแถลงการณ์ของกลุ่มประเทศ G7 ในหลายๆประเด็นด้วยกัน เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อนที่ทั่วโลกต่างกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาตินั้น กลุ่มประเทศ G7 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะจัดการต่อวิกฤตโลกร้อน โดยให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งมีมลพิษอย่างมากลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 โดยสี่ปีที่ผ่านมาอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยปฏิเสธแบบหน้านิ่งไร้เหตุผล!!! อนึ่งการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีความมุ่งมั่นต้องการที่จะให้กลุ่ม G7 บริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 1,000 ล้านโดสต่อประเทศด้อยพัฒนาจนถึงสิ้นปี 2022 นั้น สืบเนื่องมาจากเขาเล็งเห็นว่า โรคนี้ได้ผลาญพร่าชีวิตประชากรในประเทศด้อยพัฒนาไปแล้วถึง 3.7 ล้านคน โดยสหรัฐฯมีความจำนงที่จะร่วมบริจาคครึ่งหนึ่งของจำนวนวัคซีนทั้งหมด และสำหรับโครงการระยะยาวแล้วสหรัฐฯมีความประสงค์ต้องการที่จะบริจาควัคซีนทั้งหมด 1,000 ล้านโดสด้วยกัน ทั้งนี้ในที่ประชุมของกลุ่มประเทศ G7 ยังได้เรียกร้องให้จีนร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกในการสืบสวนหาต้นตอที่มาของโรคระบาดโควิด-19 และในการประชุมของกลุ่มประเทศ G7 ในครั้งนี้ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลจีนมอบเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยให้จีนเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองฮ่องกงเป็นต้น และก่อนหน้าที่กลุ่ม G7 จะออกแถลงการณ์ร่วมนั้น สำนักข่าวรอยเตอร์สได้ออกมาเปิดเผยว่า โฆษกของสถานทูตจีนในกรุงลอนดอนได้ออกมาระบุว่า “จีนมีความคิดเห็นว่า ประเทศเล็กๆหรือประเทศใหญ่ๆ ประเทศร่ำรวยหรือประเทศยากจนต่างก็มีความเท่าเทียมกัน ฉนั้นทุกๆประเทศบนโลกใบนี้ ควรจะมีส่วนเข้าร่วมปรึกษาหารือเกี่ยวกับกิจกรรมสำคัญๆ” ทั้งนี้จีนซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่ม G20 จะมีการประชุมสุดยอด ณ อิตาลี ในเดือนตุลาคม 2021 ที่กำลังจะถึงนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ประธานาธิบดีไบเดนจะได้พบปะเป็นการส่วนตัวกับ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ของจีนอย่างแน่นอน สำหรับการประชุมสุดยอดที่องค์การนาโต เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมดรวม 30 ประเทศนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้กล่าวย้ำว่า “สหรัฐอเมริกากลับมาแล้ว” ทั้งนี้ปรากฏว่าสมาชิกในองค์การนาโตได้ออกแถลงการณ์ร่วมโดยชี้ตรงไปที่จีนและรัสเซียว่าต่างเป็นภัยต่อความมั่นคงของโลก!!! สำหรับการประชุมสุดยอดที่จะมีขึ้นระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับ ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ในวันพุธที่ 16 มิถุนายน 2021 นี้ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ผู้นำทั้งคู่ต่างลงความเห็นว่า “ขณะนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศกำลังถึงจุดตกต่ำที่สุด” โดยผู้นำทั้งสองต่างเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องรัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2016 และปี 2020 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งของประธานาธิบดีโจ ไบเดนโดยตรง อนึ่งจากการสำรวจของสำนักหยั่งเสียงที่น่าเชื่อถือ “Pew Research” ถึงความรู้สึกของประชาชนใน 12 ประเทศติดต่อกันถึง 16 ครั้งได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนนี้ว่าความเห็นของคน 12 ประเทศระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีโจ ไบเดน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับความมั่นใจในการเป็นผู้นำเพียง 17% ส่วนประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้รับความมั่นใจถึง 75% กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการที่ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”จะนำพาให้สหรัฐฯไปสู่สันติภาพแบบยั่งยืนได้นั้น มองๆไปแล้วเต็มไปด้วยอุปสรรคและการท้าทายที่แสนจะหนักหน่วง แต่หากว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนเปิดใจหยวนๆอะลุ้มอล่วยประนีประนอมเปิดโอกาสให้ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” พูดคุยเจรจาแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจต่อสหรัฐฯ เพราะตามความเป็นจริงแล้วจีนมีความชื่นชมสหรัฐอเมริกาเหนือกว่ารัสเซียหลายเท่า ดั่งจะเห็นได้จากการที่เยาวชนชาวจีนเดินทางไปศึกษาต่อในสหรัฐฯมากถึง 35% ของจำนวนนักศึกษานานาชาติทั้งหมด และแม้แต่ “สีหมิงเจ๋อ”ลูกสาวสุดที่รักคนเดียวของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงก็ยังไปเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอีกด้วยละครับ