แตกร้าวรุนแรง ลึงค์ขอฝนของชาวโยธะกาถูกแดดฝนทนมานานครบ 1 สัปดาห์ เริ่มมีรอยแตกร้าวแยกเป็นโพรงขนาดใหญ่ใกล้จะละลายลงสู่พื้นดินแล้ววันนี้ ขณะฝนยังตกพรำต่อเนื่องแต่ไม่แรงพอที่จะทำให้มีน้ำขังในท้องทุ่งได้ดังใจของชาวนามากนัก ทั้งยังพบปัญหาน้ำเค็มหนุนสูงในแม่น้ำบางปะกง จนใช้ประโยชน์ทางการเกษตรไม่ได้
วันที่ 16 มิ.ย.64 เวลา 20.30 น. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายสมพงษ์ โพธิ์ทอง อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 61 ม.6 ต.โยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ชาวบ้านผู้ที่ร้องขอให้นายวิชัย สิงหนาท อายุ 75 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59 ม.6 ต.โยธะกา ซึ่งเป็นผู้สืบทอดพิธีกรรมในการปั้นปลัดขิกขอฝน หรือศิวลึงค์ มาจากคนรุ่นเก่าในยุคก่อนที่ทำกันมาแต่โบราณ ให้ช่วยปั้นปลัดขิกหรือลึงค์ขอฝนขึ้นมาในปีนี้
เนื่องจากพื้นที่ถูกน้ำเค็มหนุนมาตามลำน้ำบางปะกง และฝนทิ้งช่วงในฤดูทำนา จนทำให้การปลูกพืชโดยเฉพาะนาข้าว ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวโยธะกาได้รับความเสียหายถึง 2-3 ครั้งหลังหว่านไถซ้ำใหม่เพื่อรอฝนในช่วงตลอดกว่า 1 เดือนเต็มที่ผ่านมา ตั้งแต่ในช่วงต้นเดือน พ.ค.64 กล่าวว่า ในวันนี้ปลัดขิกที่ชาวบ้านช่วยกันปั้นขึ้นเพื่อขอฝน ได้เริ่มแตกร้าวอย่างรุนแรงจนใกล้จะพังทลายลงไปกองอยู่กับพื้นดินแล้ว หลังจากได้ถูกปั้นขึ้นมานานจนครบ 7 วันหรือ 1 สัปดาห์เต็มในวันนี้
แต่ฝนที่ได้ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพียงพอที่จะทำให้น้ำขังอยู่ในท้องทุ่งเพื่อใช้หล่อเลี้ยงต้นข้าวในแปลงนาได้ แม้ในขณะนี้ยังคงมีฝนตกพรำอยู่ตลอดเวลาก็ตาม ประกอบกับยังคงมีน้ำเค็มหนุนสูงอยู่ในลำน้ำบางปะกง ซึ่งหากเป็นในทุกปีที่ฟ้าฝนตกลงมาตามฤดูกาล ปกติน้ำเค็มจะต้องลดต่ำลงไปจนไกลถึงใน อ.เมืองฉะเชิงเทรา และ อ.บ้านโพธิ์ แล้ว แต่ในปีนี้น้ำเค็มยังคงหนุนสูงและอยู่ห่างไกลจากปากอ่าวมากนับ 100 กม. จนถึงพื้นที่รอยต่อระหว่างแม่น้ำนครนายกและแม่น้ำปราจีนบุรี
เนื่องจากพื้นที่ทางตอนบนยังคงมีฝนตกน้อย และมีน้ำจืดไหลลงมาไม่มากด้วย ซึ่งชาวบ้านยังคงรอคอยความหวังที่จะได้ฝนห่าใหญ่จนทำให้มีน้ำมากเพียงพอที่จะขังอยู่ในท้องทุ่งได้ต่อไป แม้ศิวลึงค์จะพังทลายลงไปก่อนอีกในไม่ช้านี้แล้วก็ตาม เนื่องจากมีสภาพของการแตกร้าวที่ค่อนข้างหนักมาก จนเป็นโพรงลึกเข้าไปถึงแกนด้านใน และยากที่จะพยุงตั้งเอาไว้ต่อไปอีกระยะได้ นายสมพงษ์ ระบุ