ยังอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ ในภูมิภาคยุโรป ก่อนที่จะเสร็จสิ้นภารกิจในวันพุธที่ 16 มิ.ย.นี้เป็นวันสุดท้าย แล้วจึงเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา
สำหรับ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ที่เดินทางเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้าสู่ทำเนียบขาว ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.เป็นต้นมา
โดยการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งปฐมฤกษ์ของประธานาธิบดีไบเดนในครั้งนี้ นอกเหนือจากเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำในเวทีต่างๆ ถึง 3 เวทีแล้ว ได้แก่
การประชุมสุดยอดผู้นำของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือจี7ซัมมิต ที่เทศมณฑลคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ
ตามมาด้วยการประชุมสุดยอดผู้นำชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโตซัมมิต ที่สำนักงานใหญ่ของนาโต ในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม
และปิดท้ายด้วย การประชุมสุดยอดร่วมกับผู้นำของชาติสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ “สหรัฐฯ-อียูซัมมิต” ที่สำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป หรืออียู ซึ่งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม เช่นกัน
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไบเดน ก็ยังมีกำหนดการพบปะหารือแบบทวิภาคี คือ สองต่อสอง กับผู้นำชาติอื่นๆ ได้แก่ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิป เออร์โดกัน ผู้นำตุรกี และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่ถือเป็นไฮไลท์ ซึ่งทั่วโลกเฝ้าจับตาจ้องมองกันเลยทีเดียวก็ว่าได้ ซึ่งนายไบเดน เคยพบปะหารือแบบทวิภาคีกับประธานาธิบดีปูตินมาแล้ว เมื่อ 10 ปีก่อน ในครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งรอบประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี มีอีกภารกิจที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งปฐมหนนี้ของประธานาธิบดีไบเดน นั่นก็คือ การฟื้นฟูภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะกับชาวยุโรปตะวันตก ที่ถือเป็นพันธมิตร ตั้งแต่ช่วงมหายุทธ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และการซ่อมแซมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาชาติต่างๆ ในยุโรป หลังจากที่ระหองระแหงกันมา ในระหว่างยุคสมัยที่สหรัฐฯ มีประธานาธิบดีชื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำฝีปากกล้าครองเมือง ตลอดห้วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา
โดยมีรายงานว่า ชาวยุโรปไม่พอใจต่อสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ จากเหตุปัจจัยหลายประการ อาทิ การจัดการรับมือกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การนำพาสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากการเข้าร่วมในข้อตกลงปารีส ที่ว่าด้วยการรับมือ แก้ไขต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน การให้ชาติสมาชิกนาโตเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสรรงบประมาณทางการทหารของนาโต ตลอดจนการมีปัญหาวิวาทะกับผู้นำในหลายประเทศ เช่น มีปัญหาวิวาทะฟาดฝีปากกับนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี และกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา เป็นต้น ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับความเสียหาย ตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตามการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในประเทศทั้งหลาย โดยสำนักโพลล์ต่างๆ
ล่าสุด ในการสำรวจโพลล์ซึ่งจัดทำโดย “ศูนย์วิจัยพิว” ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ 16 ประเทศ หลายภูมิภาคของโลกได้แก่ ออสเตรเลีย เบลเยียม แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ อิตาลี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ สเปน สวีเดน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และอังกฤษ ที่มีต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในยุคสมัยประธานาธิบดีไบเดนครองเมือง
ผลปรากฏตามที่ ศูนย์วิจัยพิวเปิดเผย ก็ระบุว่า ประชาชนชาวประเทศต่างๆ เหล่านี้ แสดงการยอมรับต่อสถานะของสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีไบเดนมากขึ้น
โดยมีตัวเลขระบุว่า ร้อยละ 62 ของประชาชนใน 16 ประเทศข้างต้น แสดงความมั่นใจว่า ประธานาธิบดีไบเดน จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อรับมือ และการแก้ไขในปัญหากิจการโลกต่างๆ อย่างแน่นอน แตกต่างจากสมัยประธานาธิบดีทรัมป์
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าว เพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ได้เพียงร้อยละ 34 เท่านั้น คือ เพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบ 2 เท่า เลยทีเดียว
ในการสำรวจความคิดเห็นยังพบด้วยว่า จำนวน 12 ประเทศ ใน 16 ประเทศ มีประชาชนให้ความเชื่อมั่นต่อสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 75
อย่างไรก็ตาม แม้สหรัฐฯ มีภาพลักษณ์ดีขึ้น ได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ก็ยังมีประชาชนใน 16 ประเทศที่รับการสำรวจความคิดเห็น แสดงความกังขา เคลือบแคลง สงสัย ในความเป็นหุ้นส่วนของสหรัฐฯ สำหรับการร่วมมือด้านต่างๆ ในระดับระหว่างประเทศ รวมถึงสถานะความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในกลุ่มประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสหรัฐฯ ถือว่าเป็นประเทศที่มีระบบประชาธิปไตยที่ทำงานอย่างได้ผลทรงประสิทธิภาพว่า สหรัฐฯ ยังคงสถานะดังกล่าวอยู่หรือไม่
ทั้งนี้ เพราะสหรัฐฯ เมื่อช่วงครั้งอดีตนั้น ถือว่าเป็นผู้นำ และเป็นตัวอย่างที่ดี ในระบอบประชาธิปไตย แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐฯ กลับมิใช่เป็นเช่นนั้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าประธานาธิบดีไบเดน จะทำให้สหรัฐฯ มีภาพลักษณ์ดีขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบคะแนนนิยมกับผู้นำชาติชั้นนำอื่นๆ แล้ว ปราะธานาธิบดีไบเดน ก็ยังมิใช่ผู้นำประเทศที่มีคะแนนนิยมเป็นเบอร์หนึ่งของโลก โดยทางศูนย์วิจัยพิว เปรียบเทียบกับประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน แล้วปรากฏว่า ประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมเหนือกว่าผู้นำเหล่านี้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีแล้ว ปรากฏว่า ประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมตามหลังมาเป็นอันดับ 2 รองจากนางแมร์เคิล โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันได้คะแนนนิยมที่ร้อยละ 74 ขณะที่ นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งเยอรมนี ได้ไปที่ร้อยละ 77