วันที่ 14 มิ.ย.64 ที่รัฐสภา เกียกกาย ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมวุฒิสภา ที่มีพล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง เป็นประธานในการประชุม ซึ่งมีการพิจารณาอนุมัติ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ 2564 หรือเงินกู้ 5 แสนล้านบาท สมาชิกวุฒิสภาได้อภิปรายทักท้วงในการใช้เงินกู้ในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 พร้อมเสนอแนะเร่งใช้งบประมาณเพื่อสนับสนุนและพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีข้อมูลคาดการณ์ว่า ไวรัสอาจกลายพันธุ์ ดังนั้นควรจัดสรรงบประมาณให้กับการพัฒนาและวิจัยพัฒนาวัคซีนให้มากที่สุด จากนั้นเวลา 12.55 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีน ว่า ตนเป็นทหารมาก่อน ต้องวางแผนกระจายวัคซีน และต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ปัญหาที่เกิดขึ้นปัจจุบัน เพราะยอดจองฉีดวัคซีนมากกว่า จำนวนวัคซีนที่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ยืนยันว่าการนำเข้าวัคซีนเป็นไปตามสัญญาหลัก แต่วัคซีนทยอยส่ง ดังนั้นการบริหารฉีดวัคซีนตนยอมให้หน่วยงานบริหารจัดการเอง เช่น เดือนมิ.ย.ได้วัคซีน 5 แสนโดส หน่วยงานต้องบริหารให้ได้ภายใน 1 เดือน แต่หากเร่งฉีด 4 แสนโดส ภายในวันเดียวจะฉีดได้ไม่ถึงเดือน ดังนั้นต้องยืดให้ยาว เพื่อรอวัคซีนล็อตใหม่เข้ามา “การสื่อสาร ต้องฟังให้รัฐบาล และผม หากไม่ฟังก็ไปกันใหญ่ มีปัญหาการสร้างการรับรู้ และบิดเบือน ทุกวันนี้มีการเมืองแทรกหมด แต่ผมเคารพ ผมคิดไม่เคยหยุดคิดวันนี้ วันหน้า และอนาคต โควิดเกิดขึ้นแล้ว 2 ครั้ง ปัจจุบันต้องแก้ และต้องคิดถึงอนาคต ปีหน้าต้องหาวัคซีนอย่างไร ซึ่งขณะนี้ได้เจรจากับรัฐบาลจีนแล้ว ส่วนเอกชนจะนำเข้าวัคซีน ผมไม่ขัดข้อง แต่ต้องเจรจากับบริษัทที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. เพื่อไม่ให้เป็นปัญหา เพราะเป็นวัคซีนฉุกเฉิน อย่างไรก็ดีรัฐบาลต้องรับผิดชอบทุกคนที่มีผลข้างเคียง อีกทั้งต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมว่า รัฐบาลฉีดให้ประชาชนฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า สำหรับการใช้เงินกู้ ด้านสาธารณสุขนั้น หากไม่พอตนพร้อมจะจัดสรรเพิ่มเติมให้ ส่วนประเด็นวัคซีนยืนยันว่ามีงบประมาณดำเนินการแน่นอน หากเพิ่มให้วัคซีนส่วนอื่นต้องลดลง เพราะเงินมีเท่านั้น อย่างไรก็ดีตลอด 7 ปีที่บริหารงบประมาณไม่มีเงินผ่านมือตนสักบาท มีแค่ตัวเลข ดังนั้นหากพบว่ามีโครงการใดทุจริตขอให้แจ้งเรื่องกับตนพร้อมข้อมูล พร้อมที่จะตรวจสอบ เพราะไม่ต้องการให้ใครทำผิดจากนโยบายที่ให้ไป ส่วนที่หลายคนมองว่าตนยึดอำนาจ รวบอำนาจ เพราะมีกฎหมาย 30 ฉบับไว้เพื่อสั่งการเอง ตนไม่อยากยึดอำนาจ แต่ตนต้องการปลดล็อคให้ทุกกระทรวง ให้หน่วยงาน เพื่อจัดสรรปันส่วนวัคซีนให้กับทุกพื้นที่ "เป็นรัฐบาลเราที่ทำให้เงินถึงมือประชาชนโดยตรงไม่ผ่านมือคนอื่น ส่วนเงินที่ใช้ตามพ.ร.บ.งบประมาณ หรือเงินกู้ อยู่ที่การบริหาร หากไม่พอ กระทรวงต้องปรับงบประมาณของตนเอง ขณะนี้รัฐบาลต้องทำเรื่องโควิด-19 การพัฒนา การลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถ ดังนั้นงบประมาณปี 65 ที่อยู่ในชั้นกรรมาธิการของสภามีคนไม่พอใจ พอตัดลดงบประมาณ ไม่สามารถตั้งโครงการใหม่ได้ เพราะกฎหมายห้ามทำ ต้องตัดงบเพื่อมาบริหารใหม่ ส่วนที่หลายคนบอกว่ารัฐบาลนี้แทคโนเครต หากไม่ให้ข้าราชการทำ หรือครอบงำข้าราชการ ทุกคนติดคุกหมด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หากงบประมาณไม่เป็นประโยชน์ โครงการไม่คุ้มค่า ไม่ได้ผล ปีหน้าอย่าตั้งอีก ทั้งนี้ตนมองว่าทุกโครงการดี แต่อยู่ที่คนทำข้างล่าง โทษตนไม่ได้ ดังนั้นเมื่อ ส.ว. ลงพื้นที่ขอให้สอนเขาบ้าง ข้อเสนอแนะของทุกฝ่ายตนรับฟัง แต่ข่าวที่เกิดขึ้น ฟังมากก็ปวดหัว เพราะมีข่าวด้อยค่า ข่าวลวง หากฟังมากจะติดกับดักตัวเอง ดังนั้นต้องมองภาพกว้าง หากตนทำแล้วไม่พอ ขอให้บอก “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ แต่ผมตั้งเกียรติเองไม่ได้ ต้องให้คนอื่นมอบให้ หากผมทำดี ควรให้เกียรติ หากไม่ดี ก็ไม่ให้เกียรติ หากเลือกตั้งในอนาคต ผมยืนยันอยู่จนครบ จะได้เลิกพูดสักที วันหน้าหากเลือกตั้ง ก็เลือกให้ดี” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานระหว่างการชี้แจง นายกรัฐมนตรี สอบถามส.ว. กลางห้องประชุมว่ามีประเด็นใดสอบถามหรือไม่ ซึ่งมีส.ว. ลุกสอบถามถึงการฟื้นการท่องเที่ยวภูเก็ต ภายใต้โครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ที่พบว่าเลื่อนออกไปก่อน ซึ่งนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า หากไม่มีความพร้อมต้องเลื่อนออกไป ทั้งนี้ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีชี้แจง พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ฐานะประธานที่ประชุม ได้ส่งข้อความเตือนให้ตอบคำถามหลังอภิปรายเสร็จ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "มีคนไล่ผมแล้ว ในนี้ไม่มีพวก" ก่อนจะถามขึ้นว่า "ในนี้มีใครไม่เชื่อมั่นผมหรือไม่ขอให้ยกมือ" ปรากฎว่าไม่มีใครยกมือ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขึ้นว่า “ก็ไม่มี ผมบังคับไม่ได้ ผมเคารพท่าน 5 - 7 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยยุ่งกับพวกท่าน ผมเชื่อมั่นในวุฒิภาวะ ภายใต้ความเข้าใจ ผมจำเป็นต้องแก้ปัญหาทุกเรื่อง นำไปสู่การแก้ปัญหา ที่พะรุงพะรัง รวมถึงการฟ้องร้องคดีที่ผ่านมา และมีอีกร้อยคดี ที่ฟ้องร้อง ผมพร้อมสู้ ที่ผ่านมาผมไม่เคยนึกถึงตัวเอง ในหัวผมทำงานทุกวัน ฝันก็ยังเป็นงาน ไม่เคยฝันเป็นอย่างอื่น อยากจะฝันก็ไม่ได้ และยิ่งไล่ ผมยิ่งสู้”