"ศบค."แถลงติดเชื้อรายใหม่ 2,310 ราย ยอดตายยังพุ่ง 43 ศพ สั่งระดม"ทหาร-ตำรวจ-เทศกิจ"คุมเข้มแคมป์คนงานรอบเมืองกรุง หลังพบเคลื่อนย้ายแรงงานทำระบาดพุ่ง รอ"สธ."ประเมินเปิดเรียน กทม. 14 มิ.ย.นี้ คาดพื้นที่สีแดงเข้มแบบออนไลน์เท่านั้น พร้อมปลดล็อก"ท้องถิ่น"สามารถจัดหาวัคซีนมาให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ ขณะที่"มะกัน"ปรับเกณฑ์ใหม่จัดกลุ่มประเทศเสี่ยงโควิด ไทยติดโผชาติสีแดงเสี่ยงสูง พร้อมแนะพลเมืองเลี่ยงเดินทาง หากฉีดวัคซีนไม่ครบตามกำหนด เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 10 มิ.ย.64 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ว่า พบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้น 2,310 ราย แบ่งออกเป็นติดเชื้อใหม่ 2,280 ราย จากเรือนจำ-ที่ต้องขัง 102 ราย ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 187,538 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 43 คน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือสมช. ในฐานะผอ.ศปก.ศบค. กล่าวว่า ในวันนี้จะเริ่มมาตราการการซีลแคมป์ก่อสร้างต่างๆให้เข้มงวดขึ้น เพื่อทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ซึ่งจะเป็นการประเมิณสถานการณ์ควบคู่กันไป พร้อมกับระบุว่า การเรียนการสอนถึงจะเปิดได้ คงเป็นการเรียนแบบออนไลน์ แต่ทั้งหมดต้องฟังกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก "จะมีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่จากหน่วยความมั่นคงทั้งตำรวจ ทหาร และเทศกิจ เข้าตรึงกำลัง ควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างและในห้วงเวลาที่ผ่านมามีความกังวลว่าจะทำให้ประชาชนตระหนก ในการใช้กำลังหน่วยงานด้านความมั่นคง แต่ผลการดำเนินการที่ผ่านมากลับพบว่า แรงงานต่างด้าวตามสถานประกอบการต่างๆ มีผู้ติดเชื้อแต่ยังมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปจุดต่างๆ ฉะนั้นจากนี้เป็นต้นไปจะใช้กำลังอย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยใช้หน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าควบคุม ซึ่งเป็นเรื่องที่กรุงเทพมหานครร้องเข้ามา โดยแต่ละไซต์จะใช้เจ้าหน้าที่ 4-5 นาย ส่วนจะควบคุมกี่จุดจะมีการหารือในที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง แต่จะใช้ตามความจำเป็น สำหรับการเปิดเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 14 มิ.ย.นี้ ขณะนี้กำลังรอกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ประเมิณ ส่วนการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการศึกษาแล้วจะมีโอกาสเปิดการสอนแบบออนไซต์ในวันที่ 14 มิ.ย.หรือไม่นั้น พื้นที่สีแดงเข้ม เท่าที่ฟังจากกระทรวงสาธารณสุขยังคงมีความเป็นห่วง แต่หากเปิดการเรียนการสอนแบบออนไลน์มีความเป็นไปได้ ซึ่งศบค.เองกำลังเพิ่มความเข้มข้นในมาตราการ สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงหรือมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก" พล.อ.ณัฐพล ยังระบุอีกว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการไม่ใช่ว่าไม่ให้ความร่วมมือ แต่อาจไม่เข้าใจ เคลื่อนย้ายแรงงานที่อาจไม่ติดเชื้อไปมายังแคมป์ก่อสร้างอื่น ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกัน พร้อมกับยืนยันว่าจะเป็นการค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นขึ้น โดยหากไปอีกระยะหนึ่งแล้วสถานการณ์ดีขึ้นก็จะมีการผ่อนคลาย เพราะต้องระมัดระวังเรื่องเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย และจะพยายามทำให้ดีที่สุด รวมถึงจะผ่อนคลายให้เร็วที่สุด ขณะที่บทลงโทษผู้ประกอบการที่ไม่ให้ความร่วมมือทางกรุงเทพมหานครมีบทลงโทษอยู่แล้ว ซึ่งทุกวันก็มีการตรวจตามรายงานของศบค.ที่ได้รายงานทุกวัน ขณะที่ ราชกิจจานุเบกษาประกาศศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(โควิด-19) เรื่องแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ระบุให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19มาให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่โดยให้จัดหาจากหน่วยงานต่างๆดังนี้ ได้แก่ กรมควบคุมโรคองค์การเภสัชกรรมสถาบันวัคซีนแห่งชาติสภากาชาดไทยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์หรือหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจในการให้บริการทางการแพทย์หรือสาธารณสุขแก่ประชาชนร่วมมือกันในการดำเนินการจัดหาสั่งหรือนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19อย่างเร่งด่วนเพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพอย่างรวดเร็วและทั่วถึงภายใต้กฎหมายกฎหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานนั้นๆกำหนดและต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายกฎหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องรวมถึงหลักเกณฑ์หรือแผนการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและต้องสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19หรือนายกรัฐมนตรีกำหนด ทั้งนี้ การดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ให้เป็นไปตามแนวทางหรืออยู่ในการกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจัดหาวัคซีนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพด้านงบประมาณและรายได้ที่แตกต่างกันและเพื่อให้การกระจายวัคซีนให้มีความเป็นธรรมมากที่สุดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนและให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในพื้นที่ในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวมของประเทศโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป ขณะที่ สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ หรือซีดีซี ได้ปรับเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับการจัดลำดับความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในแต่ละประเทศ พร้อมกับกำหนดคำแนะนำใหม่เกี่ยวกับการเดินทางเข้าประเทศที่ถูกจัดในแต่ละลำดับความเสี่ยง รายงานข่าวแจ้งว่า "ซีดีซี" ได้แก้ไขปรับเกณฑ์ใหม่ โดยประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด เปลี่ยนจากผู้ติดเชื้อ 100 รายต่อประชากร 100,000 ราย เป็น 500 รายต่อประชากร 100,000 ราย เนื่องจากการควบคุมการแพร่ระบาดทำได้ดีขึ้น ซึ่งจะแบ่งเป็น 5 ระดับ เป็นสีต่างๆ ตามความเสี่ยงจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ทั้งนี้ ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด จะถูกจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มประเทศสีแดงเข้ม ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไป หรือถ้าจะเดินทางเข้าไปต้องฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนดก่อน ประเทศที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ บราซิล ชิลี สวีเดน ซาอุดิอาระเบีย เนปาล และเกาหลีเหนือ เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศสีแดง ได้แก่ ออสเตรีย ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย มาเลเซีย เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สเปน แอฟริกาใต้ สเปน ตุรกี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมถึงไทย พร้อมมีคำแนะนำให้ประชาชนควรฉีดวัคซีนให้ครบก่อนเดินทางเข้าไป หรือหลีกเลี่ยงเดินทางเข้าไปโดยไม่จำเป็น