ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย หลายฝ่ายอาจจะเกิดความสับสนและปะปนกับความคิดว่าลัทธิยิวไซออนิสต์ เป็นสำนักคิดหนึ่งของศาสนายูดาห์ เหมือนอย่างเช่น นิกายต่างๆในศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม แต่ในความเป็นจริงนั้นมันแตกต่างกันอย่างมาก ด้วยศาสนายูดาห์ของชาวยิวนั้นถือกำเนิดมาหลายพันปี และเป็นรากเหง้าของศาสนาคริสต์ กับศาสนาอิสลาม จะพูดแบบรวบรัดก็คือ ชาวยูดาห์ หรือชาวยิว กับชาวคริสต์นั้นแตกต่างกัน ที่ชาวยิวไม่ยอมรับพระเยซู ไม่ว่าจะเป็นพระผู้มาไถ่บาป หรือศาสดา แต่ชาวคริสต์ถือว่าพระเยซูคือบุตรของพระเจ้าที่เกิดจากพระนางมารีแบบนิรมลทิน ส่วนความแตกต่างระหว่างชาวคริสต์กับมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามก็คือ ชาวคริสต์ไม่ยอมรับว่าพระมหะมัดหรือนบีมูฮัมมัด เป็นศาสดาองค์สุดท้ายที่พระเจ้าส่งมาเพื่อเผยแพร่พระวจนะของพระองค์ นั่นคือคัมภีร์อัลกุรอาน ในขณะที่ชาวมุสลิมยอมรับว่าพระเยซูเป็นศาสดาผู้มาเผยแพร่ศาสนาของพระเจ้าด้วยคัมภีร์ไบเบิล โดยเรียกท่านว่านบีอีซา(จีซัส) ส่วนลัทธิยิวไซออนิสต์นั้น เป็นเพียงแนวคิดของการแสดงออกซึ่งวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมของชาวยิวและต้องการจะปฏิรูปแนวคิดเดิมตามคัมภีร์โตร่าของศาสนายูดาห์เพื่อให้ตอบสนองต่อแรงกดดันที่เกิดขึ้นต่อวิถีชีวิตของชาวยิวในยุโรปกลางและตะวันออก เพื่อค้นหาความปลอดภัยในสังคมที่ปฏิเสธการยอมรับชาวยิวในสถานะที่เท่าเทียมกัน ทั้งนี้ในบทความเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้เขียนได้นำเสนอไปแล้วว่าชาวยิวตั้งแต่ยุคโรมัน สมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นั้น ทำให้ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาหลักในยุโรปในยุคต่อๆมา และจากเรื่องในไบเบิล ชาวยิวคือผู้ที่นำทหารโรมันมาจับพระเยซูไปสังหารด้วยการตรึงกางเขน ทำให้ชาวคริสต์ในยุคโรมันถึงสมัยกลางจงเกลียดจงชังชาวยิว และนี่คือการส่งต่อความคิดไปสู่การไม่ยอมรับชาวยิวในสมัยต่อมา แต่หากจะมองในอีกมุมมองจะพบว่าชาวยิวในยุโรปก็มีพฤติกรรมที่แปลกแยกไปจากสังคมส่วนใหญ่ และมักจะตั้งรัฐซ้อนรัฐขึ้นมาอยู่เสมอ ดังคำกล่าวของจอมพลชาลส์-โจเซฟ แห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ได้กล่าวไว้เมื่อประมาณปลายศตวรรษที่ 18 ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าชาวยิวไม่สามารถอยู่อย่างผสมกลมกลืนได้ และไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เขาจะสร้างชาติซ้อนชาติขึ้นมาอย่างเป็นนิตย์ สิ่งที่ง่ายสุดที่ต้องทำในความคิดของข้าพเจ้า คือให้เขากลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนที่ที่เขาถูกขับไล่ออกมา” ปัญหานี้จึงมีประเด็นที่ต้องวิเคราะห์อยู่ 2 ประการคือ ชาวยุโรปต้องการแก้ปัญหาอย่างง่ายๆ คือขับยิวออกจากประเทศ เพราะทนรับความแปลกแยกไม่ได้ ประกอบกับความเกลียดชังจากอดีตก็เป็นอีกแรงผลักดันที่อยากจะขับไล่ ประการที่ 2 คือ ถ้าจะขับไล่จะให้ไปอยู่ที่ไหน นั่นจึงมีที่มาของการพยายามหาหลักฐานมาอ้างอิงเพื่อให้ดูชอบธรรม สุดท้ายก็เลยเกิดการสมประโยชน์กันทั้งของยิวบางส่วนกับชาวคริสต์บางส่วน ในการอ้างอิงเอาจากไบเบิลว่าดินแดนดังกล่าวคือปาเลสไตน์ ว่าเป็นดินแดนในพันธสัญญาที่พระเจ้าจะมอบกับยิว หลังจากขับไล่ให้พเนจรไปกว่า 2,000 ปี ประเด็นเหล่านี้ในบทความเมื่อ 2 ครั้งก่อนในหัวข้อว่าดินแดนปาเลสไตน์นั้นรกร้างว่างเปล่าจริงหรือ และชาวยิวเป็นชนชาติที่ไร้ดินแดนจริงหรือ ผู้เขียนได้อธิบายด้วยเหตุผลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์พร้อมอ้างอิงงานวิจัยของนักวิจัยชาวยิวที่รักความเป็นจริงว่ามันเป็นข้ออ้างอิงของลัทธิไซออนิสต์ในการสร้างความชอบธรรมเพื่อเข้ามาแย่งยึดดินแดนปาเลสไตน์ อย่างไรก็ตามในส่วนต่อไปนี้ก็จะอธิบายว่า ลัทธิยิวไซออนิสต์นี้ก่อตัวขึ้นมาเพราะแรงกดดันที่ถูกชาวคริสต์ในยุโรปกดขี่เหยียบย่ำและขับไล่ไสส่ง จึงได้นำเอาขบวนการต่อต้านนี่มาสร้างเป็นลัทธิที่นำเอาศาสนายูดาห์มาแปลงความคิดทางศาสนาให้เป็นแนวคิดแบบชาตินิยม และต้องการตั้งประเทศหรือรัฐยิวขึ้นมา ขบวนการไซออนิสต์หรือลัทธิยิวไซออนิสต์เริ่มปรากฏเป็นรูปธรรมในปีค.ศ.1897 เมื่อนักหนังสือพิมพ์ชาวออสเตรียเชื้อสายยิว ชื่อ ธีโอดอร์ เฮอร์เซิล (Theodore Herzl) ได้เผยแพร่ความคิดและบทความในหนังสือพิมพ์ที่เขาเป็นบรรณาธิการ จนความคิดตกผลึกและได้จัดให้มีการประชุมใหญ่ผู้นำยิวคนสำคัญๆ ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 300 คน และที่ประชุมมีมติให้จัดตั้ง “องค์การไซออนิสต์โลก” (World Zionist Organization) หลังการประชุมได้มีเอกสารสำคัญที่เรียกว่า "ปฏิญญาของผู้อาวุโสแห่งไซออน" (The Protocol of the Elders of Zion) เป็นอุดมการณ์ที่ครอบคลุมมิติทางความเชื่อ สังคม การเมือง และเศรษฐกิจโดยสังเขป 1.ในมิติแห่งความเชื่อชาวไซออนิสต์เชื่อว่าชนชาติยิวนั้นได้รับพรจากพระเจ้าให้มีสถานภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั้งปวง และจะต้องเป็นผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองโลก ในบางส่วนเชื่อว่ามนุษย์สายพันธุ์อื่นเป็นดังเดรฉานที่ชาวไซออนิสต์พึงรังเกียจ และไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย 2.ในทางการเมืองชาวไซออนิสต์ต้องเข้าครอบงำด้วยขบวนการต่างๆและทำลายความยึดมั่นศรัทธาทางศาสนาของคนเหล่านั้นด้วยการยัดเยียดมอมเมาด้วยวัตถุ นั่นคือการยึดกุมสื่อ 3.ในทางเศรษฐกิจต้องเคลื่อนย้ายพลังอำนาจทางเศรษฐกิจจากที่ดินไปสู่การค้าอุตสาหกรรม และที่สำคัญคือเงินทุนที่สะสมจากการให้กู้ยืม การมอมเมาเสี่ยงโชคด้วยกลวิธีต่างๆ ที่ซ่อนรูปในแบบการลงทุนที่สุ่มเสี่ยง และเข้ายึดกุมสถาบันการเงิน ที่สำคัญแม้ไซออนิสต์จะเรียกร้องเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ แต่มันเป็นเพียงวาทกรรมเท่านั้น โดยแท้จริงมนุษยชาติต้องการผู้นำที่ได้รับพรพิเศษจากพระเจ้า มาปกครองเขา ประดุจฝูงสัตว์ที่ต้องมีนายมาต้อนเข้าคอก อย่างไรก็ตามอำนาจที่แท้จริงของลัทธิยิวไซออนิสต์นั้นไม่ได้อยู่ที่คำสอนหรือความเชื่อ แต่อยู่ที่ผู้นำหรือกลุ่มผู้นำหลายคนของลัทธิยิวไซออนิสต์ ที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจจากความรู้ความสามารถ ความชาญฉลาดของตน อย่างกลุ่มรอธส์ ไชลด์ ที่ครอบงำธุรกิจการเงินในยุโรปและสหรัฐฯ และยังแตกแขนงธุรกิจออกไปอีกหลายสาย รวมทั้งการเป็นทุนสำคัญให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในฮอลลีวูด อันเป็นแหล่งผลิตมายาคติที่จะครอบงำความคิดคนได้อย่างกว้างขวาง ผู้นำอีกคนที่มีบทบาทสำคัญในธุรกิจพลังงาน คือ ร็อกกี้ เฟลเลอร์ ที่สร้างความมั่งคั่งด้วยลำแข้งและความอุตสาหะ ส่วนรุ่นถัดมาก็คือจอร์จ โซรอส พ่อมดทางการเงินที่เป็นจักรกลสำคัญในการกำกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์มหาศาล และอีกรุ่นถัดมา คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเจ้าของเฟซบุ๊กที่ร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืน ด้วยความคิดอันชาญฉลาด ถ้าขาดผู้นำสำคัญๆในทางธุรกิจ และผู้นำทางการเมืองอย่างเฮนรี่ คิสซิงเจอร์แล้ว ขบวนการยิวไซออนิสต์คงยากจะเติบโตมาจนในปัจจุบัน สามารถครอบงำการเมืองของสหรัฐฯได้โดยสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้จากผลงานของ American Israel Public Affairs Committee ที่เป็นองค์การจัดตั้งและสนับสนุนโดยขบวนการยิวไซออนิสต์ที่สามารถล็อบบี้ในภาษาของชาวมะกัน แต่มันคือการซื้อตัวส.ส.และส.ว.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน จำนวนมากเพื่อให้สหรัฐฯให้การสนับสนุนอิสราเอล ทั้งการเงินและการทหาร ทั้งๆที่ชาวอเมริกันจำนวนนับล้านยังไร้ที่อยู่อาศัยและขาดอาหารบริโภค นอกจากนี้ยิวไซออนิสต์ยังรุกรานเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์จำนวนมากเพื่อระบายความคลั่งแค้นในอดีต อย่างไรก็ตามแม้เอกสารเกี่ยวกับอุดมการณ์ของลัทธิไซออนิสต์จะถูกทำลายไปบางส่วน แต่ก็ยังสามารถสืบค้นเป็นพื้นฐานได้ แต่แนวคิดของยิวไซออนิสต์ที่สุดโต่งรุนแรงนี้ ในความจริงมันก็เป็นแรงตอบโต้จากความกดดันที่ชาวยิวได้รับมาในอดีต กระนั้นก็ตามมหาตมะคานธีเคยกล่าววลีเด็ดไว้ว่า “ถ้าโลกนี้ใช้แนวทางตาต่อตาฟันต่อฟัน ทั้งโลกคงเต็มไปด้วยคนตาบอดและคนฟันหลอเป็นแน่แท้”