กว่าจะตั้งหลัก ตั้งลำได้ รัฐนาวาที่มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ทำเอา ลูกเรือที่ร่วมชะตากรรม ไปจนถึง “กองเชียร์” ถึงกับออกอาการ ใจคอไม่สู้ดีนัก เพราะนอกจากเรือเหล็ก จะโคลงเคลงแล้ว ยังเกิด รูรั่วจาก “ศึกใน” ที่เปิดหน้าฟาดกันไม่มียั้ง แต่เมื่อล่าสุด วันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา ภาพและบรรยากาศการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นทั่วประเทศ จนทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ออกอาการพึงพอใจ ตามมาด้วยการประกาศให้บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ว่า 7 มิถุนายน คือวันต่อสู้กับสงครามไวรัส และจะไม่ยอมแพ้ จนกว่าประเทศไทยจะได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ หากย้อนกลับไปเมื่อราวปลายเดือนพฤษภาคม รัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ ไปจนถึง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต่างอยู่ในสภาพที่ต้องบอกว่า “สะบักสะบอม” เต็มที เพราะไม่เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างต้องลุ้นว่า “วัคซีน” จะมาตามนัด ทันเวลากับที่รัฐบาลประกาศ ให้การฉีดวัคซีน เป็น “วาระแห่งชาติ” ก็ยังถูกท้าทายจากส.ส.ฝ่ายค้าน จนทำให้เครดิตของรัฐบาลถูกบั่นทอนเรื่อยมา แต่แล้วเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนภาพที่พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ที่ยกคณะไปตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีนสองแห่ง ทั้งที่สถานีกลางบางซื่อ เขตจตุจักร และ ศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง เขตดินแดง ได้ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ และเสียงท้าทายจากฝ่ายค้าน ว่า วัคซีนจะไม่มาตามนัด ซาลงไปทันที ภาพที่พี่น้องประชาชน ทยอยกันเดินทางไปรับการฉีดวัคซีนทั้งในกทม.และตามต่างจังหวัดในวันที่รัฐบาลประกาศคิกออฟฉีดวัคซีนทั่วประเทศ ได้กลายเป็นการพลิกสถานการณ์จากที่หวุดหวิด จวนเจียนจะติดหล่ม ก็พลันได้โอกาส “ขยับเดินหน้าต่อ” ด้วยความมั่นใจมากขึ้น อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลจะแก้สถานการณ์ได้ทันท่วงที แต่ใช่ว่าปัญหาเดิมที่เกี่ยวเนื่องมาจากการบริหารจัดการวัคซีน จะไม่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข เพราะในขณะที่กทม. และหลายจังหวัดจะมีประชาชนได้รับการฉีดวัคซีน เข็มแรกกันเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนไปแล้วก็ตาม แต่ยังปรากฎว่า ในอีกหลายจังหวัด ทางโรงพยาบาลได้มีการแจ้งเลื่อนการฉีดออกไป จนส่งผลกระทบทำให้ประชาชน เกิดความสับสน เกิดภาวะ คนอยากฉีด แต่กลับไม่มีวัคซีนให้ได้ฉีด แน่นอนว่า ศึกใหญ่ที่พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลต่างรู้ดีว่า หากสามารถฝ่าฟัน ผ่านสมรภูมิไวรัสโควิด-19ไปได้แล้ว นั่นคือทุกอย่างเดินหน้าไปตามเป้าหมาย มีประชาชนได้รับวัคซีนทั้ง 50 ล้านคน จำนวน 100 โดสภายในสิ้นปีนี้ ย่อมจะทำให้รัฐบาล โดยเฉพาะตัวพล.อ.ประยุทธ์ เองไม่เพียงแต่จะอยู่ได้อย่างมั่นใจ แต่ยังมั่นคง เพราะอย่าลืมว่า เป้าหมายของการกระจายการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด รวดเร็วที่สุด แก่คนทั้งประเทศนั้นไม่เพียงแต่จะรักษา “ชีวิต” ผู้คนเอาไว้ได้เท่านั้น แต่ยังจะกลายเป็น เครื่องมือสำคัญในการพลิกฟื้นภาวะเศรษฐกิจ ให้คืนกลับมาได้โดยเร็วและดีที่สุด โดยไม่ต้องสงสัย ตลอดจนยังจะสามารถ ตรึงความเข้มแข็งของ “ปราการ” ด่านที่สำคัญที่สุดนั่นคือระบบสาธารณสุข ของไทย จะรับมือกับสงครามไวรัสได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้าย จนกระทบต่อสาธารณสุขทั้งระบบตามมา เพราะนี่คือ หนึ่งในข้อห่วงใยจากหลายต่อหลายฝ่าย ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางการเมืองด้วยซ้ำ การออกมาเอ่ยปากขอโทษพี่น้องประชาชนที่อาจจะไม่ได้รับความสะดวก จากการได้รับวัคซีน จากปากของพล.อ.ประยุทธ์ ครั้งล่าสุดได้สะท้อนให้เห็นว่า นายกฯเองรับรู้ถึงสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ และต้องเร่งคลายล็อก ให้เร็วที่สุด เพราะอย่าลืมว่า “สงครามไวรัส” ที่พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งปลุกให้คนไทยร่วมใจกันต่อสู้นั้น คือสงครามที่ยืดเยื้อ ไม่อาจบอกได้ว่าไทยจะไม่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดในระลอกที่ 4 ตามมาอีกหรือไม่ ? ลำพังการทุ่มเททุกสรรพกำลังของพล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล เพื่อกรำศึกโควิด ก็ต้องนับว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ในห้วงเวลาเดียวกัน ยังพบว่าบรรยากาศทางการเมือง กลับไม่สู้ดีนัก เพราะแม้ รัฐบาลจะแสดงให้ “ฝ่ายค้าน” ได้เห็นถึงความแข็งแกร่งแล้วว่า เมื่อถึงคราวต้องยกมือโหวตผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2565 ในวาระแรก เสียงของฝั่งรัฐบาลก็ไม่มี “แตกแถว” ให้เห็นก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่า แม้เสียงของรัฐบาลจะเป็น “เอกภาพ” แต่ “สัมพันธภาพ” กลับอยู่ในภาวะที่สั่นคลอนเต็มที !! อาการไม่พอใจจากส.ส.พรรคภูมิใจไทย ที่สะท้อนผ่านการอภิปรายในการประชุมสภาฯพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2565 ที่ผ่านมาย่อมไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย หากแต่ประเด็นต่างๆเหล่านั้นคือความไม่พอใจ ความบาดหมาง ที่เกิดขึ้นจริง เมื่อพรรคภูมิใจไทยรู้สึกว่า เหตุใดอนุทิน ในฐานะเจ้ากระทรวงหมอ จึงไม่ได้รับ “บทนำ” เท่าที่ควร แต่กลับถูกดึงอำนาจไปอยู่ในมือ นายกฯแทบทั้งหมด แต่ใช่ว่า ความบาดหมางระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับ พรรคพลังประชารัฐ จะไปถึงขั้น “แตกหัก” มีใครยอมประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล จนทำให้ “ฝ่ายค้าน” ได้ดีอกดีใจ อย่างแน่นอน เพราะถ้าเกมเดินไปถึงจุดนั้นจริง ใครที่หลุดพ้นจากวงจรการเป็นพรรครัฐบาล ย่อมเสียเปรียบ เสียโอกาสที่จะได้อยู่สร้างผลงานเพื่อเตรียมเอาไว้หาเสียง ยิ่งเมื่อล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ ส่งสัญญาณว่าอีกไม่ช้าไม่นาน การเลือกตั้งจะมีขึ้น เมื่ออายุรัฐบาลหมดลง ยิ่งชัดเจนว่า การอยู่ในสถานะรัฐบาล ย่อมเหนือกว่าการออกไปเป็นพรรคฝ่ายค้านอย่างเห็นๆ อย่างน้อยที่สุด หนังตัวอย่างที่พรรคฝ่ายค้านกำลังดำเนินกันอยู่ในยามนี้ น่าจะชี้ให้เห็นได้แล้วว่ากำลังเสียเปรียบฝ่ายรัฐบาล อยู่หลายช่วงตัว อย่างไรก็ดีตลอดวาระการดำรงอยู่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยาวนานถึง 7ปีที่ผ่านมา ย่อมเห็นได้ว่าเต็มไปด้วยสารพัดปัญหา ทั้งจากการบริหารจัดการนโยบาย จนมาถึงความล้มเหลวจากการรับมือกับไวรัสโควิด-19 แต่ดูเหมือนว่า “พรรคฝ่ายค้าน”เองกลับไม่มีพลังและ “ฝีมือ” มากพอที่จะ “คว่ำเรือเหล็ก” ลำนี้ลงได้ ทั้งที่พรรคอนาคตใหม่ คือพรรคหน้าใหม่ที่สามารถแจ้งเกิดได้ในสนามเลือกตั้งเมื่อปี 2562 อย่างงดงาม กวาดส.ส.เข้าสภาฯ มาได้เป็นประวัติการณ์ อีกทั้งยังมี “ม็อบราษฎร” นักเคลื่อนไหวคนรุ่นใหม่ ออกแรงประสานพลัง “เขย่า” รัฐบาล ทั้งในและนอกสภาฯ จนกลายเป็นข่าวใหญ่มาแล้ว ทั้งที่พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่ง ที่มีรากฐานมาจาก พรรคไทยรักไทย พร้อมด้วย “กระแส” และ “กระสุน” มิหนำซ้ำยังต้องไม่ลืมว่า “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ยังคงฟีเวอร์ ยึดหัวจิตหัวใจของพี่น้องประชาชนคนไทยได้จำนวนไม่น้อย ได้ออกแรงพยายาม “ตีโอบล้อม” พล.อ.ประยุทธ์ อยู่นอกประเทศ อย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งทักษิณ ออกแรงมากเท่าใด กลับยิ่งไม่เป็นผล เพราะเอาเข้าจริง กระแสทักษิณ นั้นแทบจะสิ้นมนต์ขลังลงไปทุกที ด้วยว่ากันว่า ทักษิณ ถนัดแต่ออกแรงสร้างภาพ สร้างกระแส แต่ไม่ยอม “ยิงกระสุน” ไม่ดูแลลูกพรรคเหมือนอย่างที่เคย ด้วยเหตุนี้ จึงจะมีส.ส.ในพรรคเพื่อไทยอีกหลายคนที่เตรียม ย้ายไปอยู่พรรคอื่น เมื่อจังหวะเหมาะมาถึง แต่ทำไปทำมา กลับกลายเป็นว่า แม้รัฐบาลจะไม่เข้มแข็ง แต่ “ฝ่ายค้าน” ยิ่งอ่อนแรง ไร้พลัง จนไม่สามารถเป็นที่หวังให้กับ “ฝั่งตรงข้าม” ที่ต้องการขับไล่ ให้เชื่อมั่นได้ว่า “ความเปลี่ยนแปลง” ทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้จริง ! การดำรงอยู่ของรัฐนาวา ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็น “กัปตัน” ไม่เพียงแต่จะเผชิญหน้ากับเสียงโจมตีด้วยข้อหาผิดพลาด ล้มเหลวจากการบริหารงานเท่านั้น แต่ยังถูกถล่มอย่างหนัก ด้วยประเด็นว่าด้วยความถูกต้อง เหมาะสมและจริยธรรม อย่างต่อเนื่อง ทั้งการที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ถูกเปิดแผลจากฝ่ายค้านกลางสภาฯ มาแล้วกรณีถูกคำพิพากษาจากศาลในต่างประเทศ จนทำให้มีการกดดันให้พล.อ.ประยุทธ์ ปรับร.อ.ธรรมนัส ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี แต่แล้วกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งตามมา ร.อ.ธรรมนัส ยังคงผงาดอยู่ทั้งในพรรคพลังประชารัฐและในรัฐบาล คล้ายกับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยี่หระต่อเสียงรอบข้าง เมื่อพิจารณากันรอบด้านแล้ว ยิ่งพบว่าแม้รัฐบาลจะเต็มไปด้วย จุดเปราะบาง เป็นเรือที่มีรูรั่วอยู่รอบลำ แต่กระนั้นก็ยังสามารถดำรงอยู่ได้ เพราะแม้จะ “อยู่ยาก” ก็ยัง “อยู่ได้” ด้วยเหตุปัจจัย และเงื่อนไขสำคัญ ที่ปฏิเสธไม่ได้นั้นเป็นเพราะ “ฝ่ายค้าน” ไม่มีฝีมือ ไร้ขุนพลตัวจริงที่จะบุกทะลวง ล่มเรือเหล็กลำนี้ จึงทำให้ต่างฝ่ายต่างถูลู่ ถูกังอยู่กันไปอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ !!