ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
สหายแปลว่าเพื่อน แต่คนสมัยหนึ่งใช้เรียกคนที่เข้าป่าไปเป็นคอมมิวนิสต์
สมัยที่ผมยังเรียนชั้นประถมศึกษาอยู่ที่บ้านนอก ในช่วง พ.ศ. 2507 - 2510 คำว่า “คอมมิวนิสต์” เป็นคำที่น่ากลัวมาก ๆ ในวิทยุมีประกาศทุกวันว่า “คอมมิวนิสต์คิดร้ายทำลายชาติ” ที่โรงเรียนมีโปสเตอร์ติดประกาศบนกระดานหน้าห้องเรียน เป็นรูปภาพแผนที่ประเทศไทยมีการแต่งภาพบริเวณประเทศลาว เวียดนาม และกัมพูชา ให้เป็นรูปหน้าคนใส่หมวกแก็ปสีเขียว แปะดาวแดงที่หน้าหมวก กำลังอ้าปากงับบริเวณภาคอีสานของไทยเอาไว้อีกแผ่นหนึ่งมีรูปเสือ ยุงลาย และทหารเวียดกง เดินอยู่ในป่า พร้อมคำบรรยายว่า “ยุงร้ายกว่าเสือ คอมมิวนิสต์ยิ่งร้ายเหลือ เหนือกว่ายุง” ก็ยิ่งทำให้เด็กเล็ก ๆ ในวัยของพวกผมตอนนั้น ยิ่งกลัวคอมมิวนิสต์มากขึ้นไปอีก
ผู้คนยุคใหม่ที่เติบโตมาในช่วงหลัง พ.ศ. 2530 ที่ปัญหาคอมมิวนิสต์หมดจากประเทศไทยไปแล้ว อาจจะนึกไม่ออกว่าปัญหาของภัยคอมมิวนิสต์เป็นเรื่องใหญ่เพียงใดในสมัยก่อน แต่ถ้าจะเปรียบเทียบปัญหาของประเทศไทยในยุคใหม่ ก็อาจจะเทียบได้กับปัญหาของการแบ่งแยกคนไทยออกเป็นฝ่าย ๆ ดังเช่น ในยุคก่อนนี้ที่แบ่งเป็นพวก “รักทักษิณ” กับ “เกลียดทักษิณ” และในขณะนี้ที่แบ่งเป็นพวก “รักสถาบัน” กับ “ชังชาติ” เป็นต้น ที่ทำให้คนไทยทะเลาะกันจนอาจจะเกิดหายนะหรือ “ล้มชาติ” ได้ เหมือนกับปัญหาของคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ภัยคอมมิวนิสต์นี้ถูกสร้างภาพและเรื่องราวให้น่าหวาดกลัวมาโดยตลอด ในตอนที่ผมเข้าเรียนที่กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2511 ก็มีแต่ข่าวการสู้รบของทหารไทยตามภูเขาในหลาย ๆ จังหวัด ในทุก ๆ ภูมิภาคของประเทศ ร่วมกับข่าวที่มีการจับกุมผู้คนที่ฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์หลายคน ต่อเนื่องมาจนถึงการกล่าวหากลุ่มคนที่เรียกร้องประชาธิปไตยในช่วง พ.ศ. 2514 - 2515 ว่าถูกคอมมิวนิสต์ชักจูง แต่ว่ากระแสเกลียดชังทหารในยุคนั้นดูจะรุนแรงมากกว่า นำมาซึ่งการลุกฮือขึ้นต่อต้านของนิสิตนักศึกษาและปัญญาชน ขับไล่ทหารออกไปในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ทำให้กระแส “ซ้าย” หรือกลุ่มคนที่มีแนวคิดเป็นคอมมิวนิสต์ ยิ่งโหมกระพือรุนแรงมากขึ้น แม้กระทั่งในสถานศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะระดับมัธยมที่อยู่ในวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านนั้นด้วย
ในโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ที่ผมเรียนอยู่ ก็มีการแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 2 พวก คือพวกนิยมซ้าย กับพวกนิยมขวา โดยพวกนิยมซ้ายก็คือพวกที่ชื่นชอบแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ อยากเห็นบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง อย่างที่เรียกว่า “ฟ้าใหม่” หรือ “ฟ้าสีทอง” ด้วยการพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอย่างฉับพลัน ในขณะที่พวกนิยมขวาคือพวกที่ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรรุนแรง หรือถ้าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป และต้องไม่ใช่การเปลี่ยนไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ เพียงแต่ให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งในกลุ่มนิยมขวานี้ก็ยังต้องการจะให้ทหารยังคงต้องมีส่วนคุ้มครองระบอบประชาธิปไตย แต่อีกส่วนหนึ่งเห็นว่าทหารควรจะออกไปเสียจากการเมืองไทยที่กำลังพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยนี้ได้แล้ว
กุศล หรือต่อมาที่พวกเรานักเรียนด้วยกันเรียกว่า “สหายกุศล” เป็นคนหนึ่งที่นิยมคอมมิวนิสต์เป็นอย่างมาก เขาเข้ามาเรียนในตอนที่พวกเราขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (ตอนนั้นระบบการศึกษาในโรงเรียนแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ ระดับประถมศึกษาตอนต้นมี 4 ชั้น คือ ป. 1 - ป. 4 ระดับประถมศึกษาตอนปลายมี 3 ชั้น คือ ป. 5 - ป. 7 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมี 3 ชั้น คือ ม.ศ. 1 - ม.ศ. 3 และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมี 2 ชั้น คือ ม.ศ. 4 กับ ม.ศ. 5) เพราะพวกผมส่วนใหญ่จะเรียนมาตั้งแต่ ม.ศ. 1 กุศลจึงได้เรียนอยู่ร่วมกับพวกเราเพียงแค่ 2 ปี แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ กุศลของสร้าง “วีรกรรม” ไว้พอสมควร โดยเฉพาะ “ไอดอลซ้าย” ที่กุศลดูเหมือนพยายามจะสร้างขึ้นอย่างทุ่มเท
กุศลมาจากโรงเรียนย่านฝั่งธน มาอาศัยอยู่กับน้าแถวมหานาค เพื่อให้มาอยู่ใกล้กับโรงเรียนแห่งใหม่นี้ ตอนนั้นโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงพอสมควร จึงมีนักเรียนย้ายมาเข้าเป็นจำนวนมากทุกปี จนต้องเปิดสอนนักเรียนเป็นสองรอบ คือรอบเช้าและรอบบ่าย (ทราบว่าสมัยนั้นจำนวนนักเรียนที่ต้องขึ้นเรียนชั้นมัธยมมีจำนวนมาก จนขยายห้องและขยายโรงเรียนไม่ทัน อันเนื่องมาจากยุคเบบี้บูมที่มีเด็กเกิดเป็นจำนวนมาก จนระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่ย โรงเรียนเติบโตไม่ทัน) ซึ่งกุศลเป็นนักเรียนรอบบ่าย แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะมีเพื่อนในรอบเช้าอยู่มาก เพราะเพียงปีเดียวหลังจากที่เขาได้เข้ามาเรียน พอขึ้นชั้น ม.ศ. 5 เขาก็ได้เป็นประธานนักเรียน อันแสดงถึงความ “ป๊อบปูลาร์” ของนายกุศลคนนี้
ขอย้อนไปกล่าวถึงเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 สักเล็กน้อย เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับกระแสนิยมซ้ายที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาต่าง ๆ อย่างรุนแรงในยุคนั้น แม้ว่าจะมีการบันทึกในประวัติไว้ว่าเป็น “วันมหาวิปโยค” เพราะมีการฆ่าฟันนิสิต นักศึกษา และประชาชน ล้มตายนับร้อย แต่ในอีกด้านหนึ่งเหล่านิสิตนักศึกษาก็ประกาศว่าเป็นชัยชนะของพวกเขา ที่สามารถโค่นล้มเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่ที่สงครามโลกครั้งที 2 สงบลงนั้นได้ ตอนนั้นในสถานศึกษาต่าง ๆ มีการเรียกร้องเสรีภาพในทุก ๆ เรื่อง แม้แต่เรื่องขอไว้ผมยาว ขอแต่งตัวตามสบาย ใส่กางเกงยีนส์และเสื้อยืดกับรองเท้าแตะในมหาวิทยาลัยได้ จนกลายเป็นแฟชั่นอยู่ช่วงหนึ่งที่เรียกว่า “ยุค 5 ย” คือ ไว้ผมยาว สวมกางเกงยีนส์ ใส่เสื้อยืด สะพายย่าม และสวมรองเท้ายาง(รองเท้าแตะ) ซึ่งในหมู่นักเรียนมัธยมก็ขอไว้ผมยาว และสะพายย่ามมาโรงเรียน ซึ่งทางโรงเรียนก็จำใจยินยอม เพราะกระแสเรียกร้องเสรีภาพในทุกระดับของสถานศึกษาต่าง ๆ นั้นรุนแรงมาก
ส่วนเรื่องกระแสซ้ายหรือความนิยมในลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็เป็นด้วยกระแสเกลียดชังทหารนั่นเอง โดยที่ทุกคนที่เข้ามาเรียนในชั้น ม.ศ. 4 จะต้องเรียนรักษาดินแดน หรือ ร.ด. แต่พอกุศลเข้ามาเรียน สิ่งแรกที่กุศลทำก็คือเชิญชวนพวกนักเรียนในระดับชั้น ม.ศ. 4 เลิกเรียน ร.ด. พร้อมกับประกาศด้วยว่า ในอนาคตทหารจะไม่มีอีกแล้วในประเทศไทย ทหารคือกากเดนศักดินา เอารัดเอาเปรียบสังคม สร้างความเหลื่อมล้ำ เป็นอภิสิทธิ์ชน และขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของประเทศ การรณรงค์ของกุศลได้รับการยอมรับพอสมควร นักเรียนหลายคนไม่สมัครเรียน ร.ด. รวมทั้งผมด้วยคนหนึ่ง ที่เลือดรักความยุติธรรมในสังคมคุรุ่น โดยที่ไม่ได้เกลียดชังทหาร เพียงแต่เกลียดชังการเอารัดเอาเปรียบและความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นพอมีใครมาพูดด้วยแนวคิดที่ถูกใจ จึงเชื่อตามและไม่ได้คิดว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แม้แต่น้อย
ลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นมีหลายรูปแบบ ทั้งที่สวยงามเลิศหรูและที่ร้ายเหลือน่ากลัว