เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงแผนบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลที่ล้มเหลวสร้างความสับสนให้กับประชาชน รัฐบาลลับลวงพรางสร้างความคาดหวังให้กับประชาชนว่าจะได้ฉีดวัคซีนแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถบริหารจัดการให้สำเร็จตามที่ประกาศได้ ดีเดย์ 7 มิ.ย. ที่จะลุยฉีดวัคซีนปูพรมทั่วประเทศ ให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรไทย 65 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2564 น่าจะเป็นไปได้ยากสัญญาการส่งมอบที่ทำไว้แอสตราเซเนกาจะส่งให้ประเทศไทยเดือนละ 6 ล้านโดส 10 ล้านโดส
แต่ลอตแรกมาแค่ 1.8 ล้านโดส ยังขาดอีกกว่า 4 ล้านโดส ต้องนำเข้าวัคซีนซิโนแวคมาเพิ่มจำนวน 11 ล้านโดส วัคซีนซิโนแวคจึงกลายเป็นตัวหลักแทนม้าเต็งอย่างแอสตราเซเนกา ผลักภาระให้โรงพยาบาลต้องไปแก้ปัญหาหน้างานกันเอาเอง โรงพยาบาลหลักในจังหวัดต่างๆ อาทิ ลำปาง เชียงใหม่ อุบลราชธานี นครปฐม และอีกหลายจังหวัด จึงแจ้งเลื่อนการฉีดวัคซีนเข็มแรกออกไปแบบไม่มีกำหนด วัคซีนดีเลย์ เกิดจากจำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรจากส่วนกลางมีแค่ไม่กี่พันโดส ขนาดประกาศให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ ยังแกว่งขนาดนี้ โอกาสที่จะทันตามโปรแกรมที่รัฐบาลประกาศฉีดวัคซีนให้คนไทยครบ 70 เปอร์เซ็นต์ของ 65 ล้านคน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ จึงเป็นไปได้ยาก รัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้มีการใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือในการหาเสียงของนักการเมืองบางพรรค ที่เปิดลงทะเบียนวัคซีนแก่หัวคะแนนของตนเองโดยอ้างว่าเป็นโควต้าพิเศษ เกิดการลัดคิวฉีดวัคซีนเพื่อหวังผลสร้างคะแนนนิยมหรือไม่ ทั้งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้วัคซีนกระจายได้มากที่สุด แต่กลับเอาชีวิตคนมาเล่นกับการเมือง
“รัฐบาลเขียนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้ แต่ตอบไม่ได้ว่าประชาชนจะได้ฉีดวัคซีนครบเมื่อไหร่ จะเยียวยาอย่างไรจะนำไปสู่การปลดล็อคเมื่อไหร่ ผลักภาระให้แต่ละจังหวัดที่ขาดแคลนวัคซีนแก้ปัญหากันเอาเอง แผนบริหารจัดการวัคซีนต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้และสื่อสารกับประชาชนอย่างจริงใจตรงไปตรงมา” นายอนุสรณ์กล่าว