เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำ พรก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาทเข้าสภาฯ เพื่อพิจารณาในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ซึ่งจะเป็นการสร้างหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีกอย่างมาก หลังจากที่รัฐบาลได้ออก พรก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทไปแล้ว แต่ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เศรษฐกิจไทยยังคงทรุดหนัก โดยไตรมาสแรกยังคงติดลบถึง - 2.6% อีกทั้งการใช้เงินนอกงบประมาณแบบนี้ จะตรวจสอบได้ยาก เปิดโอกาสให้มีการทุจริตคอรัปชั่นกันได้สูง ยกตัวอย่างเช่นการใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านที่ผ่านมามีการกำหนดว่าจะใช้เยียวยา 550,000 ล้านบาท ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท และ ใช้สำหรับสาธารณสุข 45,000 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า สุดท้ายกลายเป็นการใช้จ่ายเพื่อการเยียวยาเกือบทั้งหมด การกระตุ้นเศรษฐกิจแทบไม่มีผลอะไรเลย และมีการใช้เงินด้านสาธารณสุข 45,000 บาท แต่กลับไม่มีวัคซีนเพียงพอที่จะใช้กระจายการฉีดให้กับประชาชนจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่มีวัคซีนให้ประชาชนสามารถเลือกได้ นอกจากนี้การใช้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 6% กว่าของจีดีพี แต่กลับเพิ่มจีดีพีได้เพียง 2% เท่านั้นตามการประเมินของสภาพัฒน์ ซึ่งแสดงถึงการใช้เงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพและอาจจะมีการทุจริตคอรัปชั่นเพราะรัฐบาลยังไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดของการใช้เงิน 1 ล้านล้านบาทให้ประชาชนได้ทราบเลย ซึ่งต้องอธิบายว่าทำไมจ่ายเงินมากขนาดนั้นแล้ว รัฐบาลยังบริหารล้มเหลวทั้งเรื่องการบริหารจัดการวัคซีน การความคุมการระบาดของไวรัสโควิด และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล้มเหลวอย่างหนักในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ประชาชนยังลำบากกันอย่างมากทั่วประเทศ ทั้งนี้ ขนาดเรื่องจัดการวัคซีนซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายๆ แค่การจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพหลายยี่ห้อ และพยายามกระจายการฉีดให้มากและเร็วที่สุด พลเอกประยุทธ์ยังบริหารได้อย่างล้มเหลวแบบเละเทะ แล้วการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยุ่งยากและซับซ้อนกว่ามาก พลเอกประยุทธ์จะเอาปัญญาที่ไหนมาแก้ไขได้ เศรษฐกิจไทยจึงมีแต่จะหักหัวทรุดลงไปเรื่อยๆ จนคนบ่นเรื่องความลำบากกันหนาหูมากขึ้น ดังนั้น การที่รัฐบาลจะออก พรก. เงินกู้ เพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท โดย พ.ร.ก.ฉบับนี้เป็นการเขียนไว้กว้างๆ โดยเอาไปใช้ด้านสาธารณสุข 3 หมื่นล้านบาท เยียวยาประชาชน 3 แสนล้านบาท ใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1.7 แสนล้านบาท แต่ไม่มีรายละเอียดอะไรเลยว่าเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ตอบ 10 คำถามคาใจดังนี้ 1. การออก พรก. เงินกู้ 5 แสนล้าน จะผิดวินัยการเงินการคลัง และ ผิดกฏหมายหรือไม่ เพราะการใช้เงินอีก 5 แสนล้านบาทดังกล่าวจะทำให้หนี้สาธารณะของไทยพุ่งทะลุเกินเพดาน 60% ของจีดีพี ตามที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจงเองว่าถ้าใช้เพียง 1 แสนล้านบาทของการกู้ 5 แสนล้านบาทนี้ ร่วมกับการกู้ในส่วนที่เหลือของการกู้ 1 ล้านล้านบาทเดิม จะทำให้ให้หนี้สาธารณะพุ่งถึง 58.56% ดังนั้นถ้าใช้ครบ 5 แสนล้าน จะทะลุเกิน 60 % อย่างแน่นนอน ทั้งนี้ยังไม่รวมเงินกู้ชดเชยงบประมาณรายจ่ายปี 2565 อีก 7 แสนล้านบาท และ การเก็บรายได้ที่จะพลาดเป้าในปีนี้อีกประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมแล้ว หนี้สาธารณะจะทะลุเกินเพดาน 60% ไปอย่างมาก และจะผิดระเบียบวินัยการเงินการคลังแน่นอน และน่าจะผิดกฎหมายด้วย 2. การออก พรก. เงินกู้อีก 5 แสนล้านนี้จะยิ่งตอกย้ำว่ารัฐบาลจะกู้เงินมาใช้มากกว่าการลงทุนเพิ่มมากขึ้นไปอีกใช่หรือไม่ เพราะในงบประมาณปี 65 มีการกู้ 7 แสนล้านบาท แต่ลงทุนเพียง 6.24 แสนล้านบาท การกู้เพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นการกู้มาใช้เกือบทั้งหมด ยิ่งจะตอกย้ำสิ่งที่นักวิชาการ ทีดีอาร์ ไอ ได้เตือนไว้แล้วว่าจะเสี่ยงล้มกันทั้งประเทศ ซึ่งจะทำให้ยิ่งเสี่ยงล้มกันทั้งประเทศเพิ่มขึ้นไปอีกใช่ไหม 3. การออก พรก. เงินกู้อีก 5 แสนล้านบาทนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คลัง บอกว่าจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นอีก 1.5%-2.5% ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อคราวที่แล้วใช้ไป 1 ล้านล้านบาทยังช่วยได้เพียง 2% เท่านั้น อีกทั้ง 5 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 3% ของจีดีพี แต่ทำไมจีดีพีถึงเพิ่มได้น้อยกว่า แล้วที่พลเอกประยุทธ์เคยบอกว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายได้ 4% ขนาดยังไม่ต้องกู้ 5 แสนล้านบาท หายไปไหนแล้ว แสดงถึงความล้มเหลวซ้ำซ้อนของรัฐบาลใช่หรือไม่ 4. การออก พรก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่ลดลงมาจากเดิมที่จะตั้งใจกู้ 7 แสนล้านบาทตามที่ ครม. ได้อนุมัติแล้ว อยากทราบว่าได้ตัดการใช้จ่ายเรื่องใดออกไปบ้าง และทำไมถึงตัด หรือ ไม่ได้มีแผนงานแต่แรกแต่กู้ไว้ก่อนแล้วค่อยมาคิด จึงสามารถลดได้ตามชอบใจใช่หรือไม่ ? 5. อยากถามว่ายังมีงบของกระทรวงกลาโหมแอบซุกใน พรก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาทนี้อีกหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวการจัดสรร 387 ล้านบาทให้กองทัพ และ การจัดสรรงบ 16,000 ล้านบาทให้ กองทัพเรือ ซึ่งไม่น่าจะใช่วัตถุประสงค์ของการกู้ครั้งนี้ 6. การออก พรก. 5 แสนล้านบาท จะมีการกำหนดกรอบการใช้ให้ชัดเจนได้หรือไม่ เพื่อให้ใช้เงินที่กู้มาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อป้องกันการทุจริต ไม่ใช่เป็นการตีเช็คเปล่าเหมือนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ อีกทั้งจะมีแนวทางในการตรวจสอบทุจริตได้อย่างไร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ล้มเหลวเหมือน การใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่ผ่านมา 7. การใช้จ่ายสาธารณสุข 30,000 ล้านบาท จะมีการจัดหาวัคซีนให้ประชาชนอย่างเพียงพอหรือไม่ มีวัคซีนให้ประชาชนเลือกหรือไม่ และจะมีการกระจายการฉีดให้ทั่วถึง จนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ทันภายในสิ้นปีได้หรือไม่ ซึ่งต้องฉีดให้ได้ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี ซึ่งหากดูประสิทธิภาพการทำงานของพลเอกประยุทธ์ที่ผ่านมา เชื่อได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย 8. การใช้ 3 แสนล้านบาท เพื่อเยียวยา จะมีการเยียวยาอย่างไร โดยการเยียวยาที่ผ่านมาช่วยประชาชนที่ลำบากได้น้อยมาก มีการแจกแบบกระจัดกระจาย เหตุใดไม่รวมกับเงินที่เหลือ 3.8 แปดแสนล้านบาทในครั้งแรก แล้วจ่ายเดือนละ 5000 บาท 3 เดือนตั้งแต่แรก หรือ เพราะไม่ได้มีการคิดวางแผนกันไว้ก่อนล่วงหน้าเลย คิดแต่จะแจกสะเปะสะปะเท่านั้น ใช่หรือไม่ 9. การกระตุ้นเศรษฐกิจ 170,000 ล้านบาท จะนำไปใช้ในด้านใดบ้าง จะทำตามแบบเดิมในการกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่ล้มเหลวหรือไม่ ที่ใช้แล้วไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เลย เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เช่น นำไปเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ปลูกพืช ฯลฯ ซึ่งกรอบคิดเล็กเกินไปที่จะฟื้นเศรษฐกิจได้ 10. รัฐบาลมีแนวทางในการใช้หนี้ หรือ ลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีได้อย่างไร เพราะรายได้ของรัฐมีเพียง 15% ของจีดีพีเท่านั้นและสัดส่วนอาจลดต่ำลงอีก ซึ่งเมื่อมีหนี้มากๆแต่รายได้ต่ำจะมีปัญหาในการชำระหนี้ อีกทั้งดอกเบี้ยอาจจะต้องจ่ายสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อของโลกอีก ทั้งนี้อาจจะเพราะไม่ได้คิด เพราะคิดแต่จะกู้ไปเรื่อยๆจนหนี้ท่วมประเทศ ใช่หรือไม่ นี่เป็น 10 คำถามพื้นฐานที่ประชาชนอยากทราบ และอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้ตอบให้ชัดเจน เพราะเท่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเหมือนประเทศไม่มีแนวทางหาเงินเพื่อที่จะฟื้นเศรษฐกิจได้เลย ได้แต่จะกู้เงินเพื่อใช้ไปวันๆเท่านั้น ทั้งนี้ห่วงว่ารัฐบาลจะก่อหนี้จนล้นเกิน ไม่อยากคิดว่าพลเอกประยุทธ์ ตั้งใจสร้างหนี้จนท่วมเพราะห่วงว่ารัฐบาลในอนาคตจะฟื้นเศรษฐกิจได้ดีกว่าที่พวกตนบริหารอยู่ใช่หรือไม่ หรือ เพราะกลัวพี่โทนี่จะฟื้นเศรษฐกิจได้จริงใน 6 เดือน ซึ่งหากยังสร้างหนี้เพิ่มไม่หยุดแต่ไม่รู้จักวิธีหารายได้ จะทำให้ประเทศไทยเสียหายและเสื่อมถอยไปอีกนาน ประชาชนจะยิ่งลำบากกันมากจนจะทนกันไม่ไหว