รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โพสต์ให้ความเห็นผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า... เป็นที่น่าสังเกตุว่า ระยะที่ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตโรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนในวงกว้างนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะใช้วิกฤตการณ์ให้เป็นประโยชน์ในการสร้างภาพให้อดีตนายกทักษิณ ให้เป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญที่จะสามารถแก้ปัญหา เหล่านี้ได้ดีกว่ารัฐบาลปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะทักษิณ แต่ยังพยายาม rebrand ยิ่งลักษณ์ น้องสาว หลังจากที่ใช้ภาพของพี่ชายหากินมานาน จนลืมสร้างภาพให้ตัวเอง ครั้งนี้พยายามสร้างภาพให้เป็นภาพของผู้มีความรู้ โดยใช้มุขเดียวกับที่พี่ชายเคยใช้ คือการแนะนำให้คนอ่านหนังสือ ไม่ทราบว่า การเคลื่อนไหวเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไร ต้องการช่วยให้ทักษิณได้กลับบ้านอย่างเท่ หรือเชื่อมั่นว่าทักษิณคือ อัศวินม้าขาว หรืออัศวินควายดำ จริงๆ ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์อะไร ขอบอกว่า ไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้จะดีหรือไม่ดีอย่างไร พวกที่ออกมาประท้วงขับไล่ทั้งรัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นล้านๆคน ไม่อาจยอมให้ระบอบทักษิณกลับมาครอบงำประเทศไทยได้อีก เพราะอะไรจึงกล่าวเช่นนั้น เพื่อตอบคำถามนี้ เราจำเป็นต้องย้อนอดีตไปทบทวนความจำ และทำความรู้จักอดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร กันให้มากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่โตไม่ทัน เกิดไม่ทัน แต่เรียกร้องให้ก้าวข้ามทักษิณ เนื่องจากมีเนื้อหามาก คำตอบจึงต้องแบ่งออกเป็น 5 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 รู้จักทักษิณในฐานะนักธุรกิจ ตอนที่ 2 รู้จักทักษิณ ในฐานะนักการเมือง ตอนที่ 3 รู้จักทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตอนที่ 4 การประท้วงขับไล่รัฐบาลทักษิณ ตอนที่ 5 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และการประท้วงขับไล่ โดยกกปส วันนี้ เราเริ่มต้นด้วย ตอนที่ 1 ทักษิณ ชินวัตร จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน รับราชการเป็นตำรวจ และได้ทุน กพ ไปเรียนปริญญาโท และเอก ด้านกระบวนการยุติธรรม ที่มหาวิทยาลัย Eastern Kenntucky State และ มหาวิทยาลัย Sam Houston State ตามลำดับ ในขณะเป็นตำรวจ ก็ได้ทำธุรกิจควบคู่ไปกับงานราชการตำรวจด้วย ทักษิณทำธุรกิจหลายอย่าง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ทำร้านขายผ้าไหม เนื่องจากธุรกิจผ้าไหมเป็นธุรกิจหลักของตระกูล เป็นสายหนัง ซื้อภาพยนตร์ไทยไปขายทางภาคเหนือ และพยายามจะเป็นผู้สร้างหนัง ธุรกิจคอนโดมีเนียม ธุรกิจเหล่านี้ล้วนล้มเหลว ทำให้ทักษิณมีหนี้สินหลายสิบล้านบาท ต้องวิ่งเต้นหาเงินด้วยการแลกเช็ค และมีเช็คเด้ง หลายครั้ง ในปี 2527 ทักษิณตัดสินใจลาออกจากราชการตำรวจ เพื่อมาทำธุรกิจอย่างเต็มตัว ธุรกิจที่ทำให้ทักษิณ เริ่มฟื้นตัวได้ คือการได้เป็นตัวแทนบริษัท ไอบีเอ็ม เพื่อขายระบบคอมพิวเตอร์ให้กรมตำรวจ เนื่องจากไอบีเอ็มขณะนั้นไม่สามารถขายสินค้าให้หน่วยราชการโดยตรงได้ เพราะกำหนดราคาเป็นเงินดอลล่าร์ จึงจำเป็นต้องมีบริษัทคนกลางเป็นตัวแทน ทักษิณเนื่องจากเป็นตำรวจเก่า ไอบีเอ็มจึงเชื่อว่าจะสามารถขายระบบคอมพิวเตอร์ให้กรมตำรวจได้ จึงให้ทักษิณเป็นตัวแทน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท ไอซีเอสไอ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ และทักษิณก็อาศัยความเป็นตำรวจเก่า ขายคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มให้กับกรมตำรวจเป็นผลสำเร็จ ในช่วงปลายสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม คุณประมุท สูตะบุตร เป็นผู้อำนวยการ อสมท ทักษิณ พยายามวิ่งเต้นเพื่อเข้าไปทำรายการข่าว ในทีวีช่อง 9 อสมท ซึ่งขณะนั้นบริษัทแปซิฟิคคอร์ปอเรชั่น รับหน้าที่ผลิตรายการข่าวอยู่ แต่ไม่สำเร็จ บังเอิญได้พบกับผู้แทนบริษัทบริษัท เคลียร์วิว จากฮาวาย ซึ่งอสมท ติดต่อมาเจรจาเพื่อหาช่องทางทำเคเบิ้ลทีวี เนื่องจากอสมท เองไม่มีความรู้เรื่องนี้ในขณะนั้น ทักษิณกับผู้แทนบริษัทเคลียร์วิว เกิดถูกคอกันจนชักชวนกันร่วมลงทุนทำเคเบิ้ลทีวี แต่ทำไม่สำเร็จเพราะ รัฐบาลในขณะนั้น(รัฐบาลพลเอกเปรม)ยังไม่อนุญาต ให้ทำได้ ต่อมาทักษิณได้บอกเลิกการร่วมลงทุน แต่ไม่ยอมคืนอุปกรณ์ต่างๆของบริษัทเคลียร์วิว จนเป็นเหตุให้ถูกฟ้องร้องในคดีฉ้อโกง ภายหลังคดีขาดอายุความไป ในช่วงรัฐบาล พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณทักษิณมีความสนิทสนมกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล อสมท มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้อำนวยการ อสมท มาเป็น คุณราชันย์ ฮูเซ็น ในช่วงนั้นทักษิณมีโอกาสเข้าไปหาผลประโยชน์จากการขายเวลาทีวีได้ไม่น้อย ผู้ที่ให้การสนับสนุน เกื้อกูล ทักษิณ เรียกได้ว่าหากขาดบุคคลท่านนี้ ทักษิณอาจไม่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจในระดับนี้ก็ว่าได้ ท่านผู้นั้นก็คือ ศาสตราจารย์พิเศษ ประยูร จินดาประดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทยในขณะนั้น ทักษิณยังได้ร่วมทุนทำธุรกิจเครื่องวิทยุติดตามตัว แพคลิ้งค์ ภายหลังถอนหุ้น และทำธุรกิจเครื่องแจ้งสัญญานเหตุฉุกเฉิน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ปี 2532 ทักษิณโดยบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ ใช้บริษัทในเครือคือบริษัทแอดวานซ์ เซอร์วิซจำกัด ประมูลได้สัมปทาน คลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ คลื่นความถี่ 900 เมกกะเฮิร์ทซ์ ได้จากองค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทย นี่เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจที่สร้างความร่ำรวยให้ทักษิณอย่างแท้จริง ในช่วงรัฐบาล รสช หลังทำรัฐประหารรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ธุรกิจของทักษิณ เรียกได้ว่าติดปีกบิน เพราะสามารถประมูลชนะได้สัมปทานดาวเทียม เป็นเรื่องที่ไม่ยืนยันแต่ว่ากันว่า พลเอก สุนทร คงสมพงษ์ ซี่งเป็นบิดาของพลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ มีส่วนในการผลักดันช่วยทักษิณ ให้ได้สัมปทานดาวเทียมครั้งนั้น ธุรกิจโทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาด และธุรกิจดาวเทียมเป็นธุรกิจผูกขาด เพราะผู้รับสัมปทานมีรายเดียว ธุรกิจทั้ง 2 นี้จึงทำกำไรให้ทักษิณอย่างมหาศาล เปลี่ยนสถานะจากนักธุกิจที่ล้มลุกคลุกคลาน เป็นนักธุรกิจอันดับต้นๆของประเทศ ชื่อเสียงของทักษิณ ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจึงเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น ปี 2537 ทักษิณเข้าสู่วงการเมือง ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในโควต้าของพรรคพลังธรรม โดยการชักชวนของ พลตรี จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม และสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่มีคุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาทักษิณ ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม และหลังจากที่คุณชวนประกาศยุบสภาเนื่องมาจาก การอภิปรายไม่ไว้วางใจ กรณี สปก 4-01 หลังการเลือกตั้งใหม่ ทักษิณก็ได้เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ในช่วงนี้เอง ที่ทักษิณประกาศหาเสียงว่า จะแก้ปัญหาจราจรให้ได้ใน 6 เดือน แต่แล้วก็ทำไม่สำเร็จ ตั้งแต่นั้นมา ทักษิณไม่เคยพูดเรื่องปัญหาจราจรอีกเลย รัฐบาลคุณบรรหารมีอันต้องยุบสภา หลังการเลือกตั้ง พรรคความหวังใหม่ชนะการเลือกตั้ง ทักษิณ ลาออกจากพรรคพลังธรรม พลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และได้เชิญทักษิณมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี หลังการปรับครม ในโควต้าของพรรคความหวังใหม่ เมื่อรัฐบาลพลเอกเชาวลิต ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท เนื่องจากนำเงินทุนสำรอง ไปต่อสู้กับการถูกโจมตีค่าเงินจนหมดหน้าตัก ทำให้เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่มีข่าวว่าธุรกิจของทักษิณได้ผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินอย่างมหาศาล ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัท เช่น ปูนซีเมนต์ไทย กลับต้องขาดทุนเพราะค่าเงินอย่างยับเยิน ประชาชนออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาล แต่ไม่ได้มีคนจำนวนมากเหมือนการประท้วงรัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กระนั้นพลเอกเชาวลิตก็ประกาศลาออก เป็นผลให้ต้องเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่ และครั้งนี้ ด้วยการเดินเกมของพลตรี สนั่น ขจรประศาสตร์ ทำให้มีส.ส.พรรคประชากรไทยจำนวนหนึ่งแปรพักตร์ไปสนับสนุนคุณชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นฝ่ายค้านให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง คนกลุ่มนี้จึงถูกเรียกว่า “งูเห่า”โดยคุณสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย และนั่นคือต้นกำเนิดของคำว่า “งูเห่า”ซึ่งมาจาก นิทานอิสปเรื่อง ชาวนากับงูเห่า นั่นเอง จบตอนที่ 1