คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ขณะนี้มีคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่เกิดขึ้นในแวดวงการเมืองของสหรัฐฯ ที่กอปรด้วยบรรดานักการเมืองอาวุโสแห่งค่ายพรรครีพับลิกันทั้งในอดีต และปัจจุบันหลายร้อยคน ที่พวกเขาอดรนทนไม่ไหวรวมตัวผนึกพลังร่วมกันขับเคลื่อนหาทางกำจัด "อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" ให้กระเด็นออกจากวงโคจรของพรรคเพราะเอือมระอากับพฤติกรรมห่ามๆวางท่าเป็นมาเฟียนักเลงโต ในอดีตที่ผ่านมา "เพลโต" ผู้เป็นอาจารย์ของ "อริสโตเติล" นักปรัชญาและบิดาแห่งทฤษฎีการเมืองสมัยโบราณได้กล่าวเอาไว้ว่า “เหตุจูงใจ ที่ทำให้นักการเมืองต้องการเสาะแสวงหาอำนาจ ก็เพื่อหาผลประโยชน์ให้แก่ตนนั่นเอง" อีกทั้งเพลโตยังได้เสริมอีกว่า "ระบอบประชาธิปไตยมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้มีอำนาจกลายเป็นนักเผด็จการ และเป็นนักปลุกระดมอันแสนเจ้าเล่ห์ " ส่วน "ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น" ผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ เขียนเอาไว้เช่นกันว่า "หากต้องการจะทดสอบคุณสมบัติของผู้ใดก็ตาม ลองมอบอำนาจให้ไปอยู่ในมือของเขาคนนั้น แล้วธาตุแท้ก็จะปรากฏให้เห็น" ทั้งนี้จุดโดดเด่นของประธานาธิบดีลินคอล์นก็คือ ซื่อสัตย์ มีอารมณ์ขำ ฉลาดหลักแหลมมีความจำเป็นเลิศ และเขาได้กล่าวเอาไว้ตอนหนึ่งว่า “แสนยากลำบากที่มนุษย์จะสามารถจดจำอะไรๆได้หมดทุกอย่าง และหากใครก็ตามที่พูดโกหกออกไปแล้ว เขาคนนั้นก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจดจำสิ่งที่ตนเองโกหกเอาไว้ให้ได้ทั้งหมดว่าพูดโกหกอะไรออกไป กับใคร และที่ไหน” ในหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2020 ได้ตีพิมพ์เผยแพร่บันทึกเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตของ “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์" ที่เขาได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “มนุษย์มีความโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์ โดยมนุษย์จะต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อหวังจะเอาชนะ” โดยก่อนหน้าที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าสาบานตัว เพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯนั้น เขาได้บอกกับผู้ใกล้ชิดว่า ทุกๆวันเขาจะวางกลยุทธ์และทำทุกๆวิถีทางเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ เพราะฉะนั้นการที่เขาพ่นพิษใส่ศัตรูเพื่อมุ่งทำลาย จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆสำหรับเขา!!! ทั้งนี้หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้เก็บสถิติจำนวนการพูดปดมดเท็จของประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่เขาอยู่ในตำแหน่งทั้งหมดสี่ปี ปรากฏว่าเขาพูดปดถึง 30,573 ครั้ง (จากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์วันที่ 24 มกราคม 2021) ที่ดูๆไปแล้ว เขาช่างเป็นคนแปลกประหลาดอย่างเหลือเชื่อที่สามารถพูดโกหกแบบไม่ละอายใจ ไม่สน ไม่แคร์ระดับมืออาชีพที่ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน และถึงแม้ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 ได้มีการพิสูจน์หลายต่อหลายครั้งแล้วว่า "ประธานาธิบดีโจ ไบเดน" คือผู้ได้รับชัยชนะตามกระบวนการยุติธรรมก็ตาม แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังไม่ยอมแพ้ ดิ้นพล่านร้องแรกแหกกระเชอยื่นคำฟ้องต่อศาลตามรัฐต่างๆถึง 5 รัฐกว่า 60 คดีเพื่อหวังจะพลิกผลการเลือกตั้ง แต่กลับถูกปฏิเสธทุกๆคดีรวมทั้งสองคดีที่เขายื่นฟ้องต่อศาลสูงสุด และแม้แต่อดีตรัฐมนตรียุติธรรมวิลเลียม บาร์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีที่ทุ่มเทรับใช้ปกป้องเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้อ่อนอกอ่อนใจลาออกจากตำแหน่ง และได้ออกมากล่าวแถลงว่า “หลังจากตรวจสอบผลการเลือกตั้งแล้ว ไม่มีหลักฐานว่ามีการโกงคะแนนเสียงแต่อย่างใด” แม้เวลาจะล่วงเลยมาแล้วกว่าเจ็ดเดือนก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่สามารถทำใจยอมรับการพ่ายแพ้ แถมเขายังออกมากล่าวย้ำต่อฐานเสียงอย่างน่าอายไม่ยอมรับความจริงว่า “ข้าพเจ้าก็ยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน” และน่าแปลกว่า จากการที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาป่าวประกาศปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อซ้ำๆซากๆประจำๆ ปรากฏว่าสำนักหยั่งเสียงรอยเตอร์สได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2021 นี้ว่าสมาชิกในค่ายพรรครีพับลิกันถึง 53% ต่างก็เชื่อว่าประธานาธิบดีทรัมป์ยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ !!! อนึ่งเมื่อสิบปีก่อนประธานาธิบดีทรัมป์มีความต้องการที่จะลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี เขาจึงเริ่มวางแผนดิสเครดิต โดยออกมาตั้งหน้าตั้งตายกเมฆประกาศว่าประธานาธิบดีบารัก โอบามาเป็นชาวมุสลิม อีกทั้งมิได้เกิดในอเมริกา การใช้ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ของประธานาธิบดีทรัมป์เยี่ยงนี้ ปรากฏว่าได้ผลเกินคาด โดยเมื่อปี 2011 มีคนอเมริกันคิดคล้อยตามการโฆษณาชวนเชื่อของเขาถึง 55% และห้าปีต่อมาเมื่อปี 2016 เพิ่มขึ้นเป็น 72% ทั้งๆที่เขาออกมากล่าวสารภาพยอมรับแล้วว่า ประธานาธิบดีโอบามาเกิดในอเมริกา แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยังไม่หมดไป ยังคงคาอยู่ในหัวสมองของคนอเมริกันเพราะยังมีอีกกว่า 34% ที่ยังเชื่ออยู่ (จาก FiveThirtyEight เมื่อวันที่ 21 November 2020 “The Birther Myth Stuck Around for Years”) ประหนึ่งว่าคนอเมริกันถูกฉีดยาพิษเข้าเส้นสมองไปเสียแล้ว!!! ขณะนี้ยังมีประเด็นร้อนๆที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯเกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อเข้าไปตรวจสอบเหตุม็อบฝูงชนบุกรัฐสภาสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์พยายามจะเข้าไปเหยียบเบรกบงการนักการเมืองพรรครีพับลิกันมิให้เข้าไปให้ความร่วมมือกับพรรคเดโมแครต โดยเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2021นี้สมาชิกผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันถึง 35 คน ทนต่อพฤติกรรมเยี่ยงนี้ไม่ไหวเดินสวนทางกับประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยการลงมติ 252 ต่อ 175 เสียง มีผลทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ แต่กลับปรากฏว่าเมื่อประเด็นนี้ถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภา ซึ่งอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังเพียรพยายามกดดันให้ "วุฒิสมาชิกมิชท์ แม็คคอนเนลล์" ผู้นำของพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาเข้าไปผลักดันเป็นรายตัวต่อวุฒิสมาชิกในพรรคสั่งงดให้ความร่วมมือกับค่ายพรรคเดโมแครตจนประสบผลสำเร็จ กล่าวคือมีวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกัน 35 คนผนึกพลังต่อต้านอย่างเต็มที่ โดยมีการโหวตกันเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ด้วยคะแนน 54 ต่อ 35 แต่ก็ยังปรากฏอีกด้วยว่า มีวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันถึง 6 คนที่หาญกล้าลงมติสวนทางกับเจตนารมณ์ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยก่อนหน้านี้วุฒิสมาชิกค่ายพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอิสระ เพื่อจะเข้าไปสอบสวนกรณีม็อบบุกรัฐสภา แต่หลังจากที่ถูกประธานาธิบดีทรัมป์ล็อบบี้อย่างหนัก พวกเขาจึงกลับลำเปลี่ยนท่าที ทั้งนี้อาจจะเป็นพราะเกรงกลัวอิทธิพลของประธานาธิบดีทรัมป์ก็เป็นได้ ถือเป็นความล้มเหลวในการจัดตั้งคณะกรรมการอิสราะเพื่อเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากมีเรื่องราวที่แสนสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ดังเช่นกรณีที่มี "ส.ส.แอนดรูว์ ไคลด์" สังกัดพรรครีพับลิกันจากรัฐจอร์เจียได้ออกไปให้สัมภาษณ์แก้ต่างแทนนายใหญ่ เพื่อประจบประแจงเลียแข้งเลียขาเอาหน้าเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2021นี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่เชื่อตามวิดีโอที่แพร่หลาย อีกทั้งเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ณ รัฐสภาที่ข้าพเจ้าเห็นก็เหมือนกับนักท่องเที่ยวทั่วๆไปเข้าเยี่ยมชมรัฐสภาเท่านั้นเอง” แต่จากวีดีโอที่บันทึกเหตุการณ์วันนั้นยังมีโซเชียลมีเดียต่างๆได้แสดงภาพของ ส.ส.แอนดรู ไคลด์กำลังพยายามบล็อกไม่ให้ม็อบเข้ารัฐสภาด้วยซ้ำไป ซึ่งมองๆไปแล้วเป็นเรื่องตลกสิ้นดี โดยนักการเมืองผู้นี้ถูกสื่อวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก อนึ่งการลงมติต่อต้านการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบม็อบบุกรัฐสภากลับสวนทางกับความคิดเห็นส่วนใหญ่ของคนอเมริกัน กล่าวคือจากรายงานของสำนักหยั่งเสียงเกรดเอชื่อดัง Quinnipiac University ที่ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วว่า คนอเมริกันถึง 55% เชื่อว่าการที่ม็อบบุกรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ส่วนการที่พรรครีพับลิกันและ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ต้องการจะให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบม็อบบุกรัฐสภามีหลายสาเหตด้วยกัน สาเหตหนึ่งมาจากความต้องการของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะจากการให้ปากคำของผู้ที่ถูกจับกุมในข้อหาบุกรุกเข้าไปในรัฐสภาได้พูดไปในทิศทางเดียวกันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้ที่ชักนำอยู่เบื้องหลัง!!! ปัจจัยที่สองหากมีการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้วละก็ ย่อมจะทำให้ข้อกล่าวอ้างของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ว่ามีการโกงเลือกตั้งอ่อนลง เพราะความจริงจะค่อยๆถูกเปิดเผยออกมา ปัจจัยที่สามหากมีการเปิดโปงข้อเท็จจริง ก็อาจจะทำให้โอกาสของพรรครีพับลิกันที่จะเอาชนะการเลือกตั้งกลางสมัยอีก 17 เดือนข้างหน้ายากยิ่งๆขึ้นไปอีก โดยแกนนำของพรรครีพับลิกันต่างตั้งความหวังไว้สูงที่จะกลับมามีเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนฯและวุฒิสภา เพื่อเข้าไปสกัดกั้นปัดแข้งปัดขาประธานาธิบดีโจ ไบเดนมิให้สร้างผลงานเพิ่มคะแนนนิยมมากเกินไปกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตามนักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตก็คงจะไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย โดย "ประธานสภาฯแนนซี เพโลซี" กำลังดำริที่จะใช้อำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเข้าไปทำการตรวจสอบค้นหาข้อเท็จจริงให้จงได้ เพราะเธอเชื่อมั่นว่า บรรดานักการเมืองพรรครีพับลิกันต้องการที่จะหมกเม็ดปกปิดข้อเท็จจริง กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นปรัชญาของเพลโตและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ล้วนแล้วแต่เป็นสัจธรรมที่แท้จริง เพราะเมื่ออำนาจเข้าไปอยู่ในอุ้งมือของนักการเมืองเยี่ยงอดีตประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ แล้ว เขากลับมิได้เห็นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่เขากลับมุ่งตักตวงผลประโยชน์เข้าหาตนเอง แถมยังหลงระเริงในลาภยศวางตัวเป็นเผด็จการ ขาดทั้งคุณธรรมและจริยธรรมอันดี ที่มองๆไปแล้วช่างแสนแตกต่างจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เขามีความมุ่งมั่นต้องการที่จะบริหารประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริงละครับ