ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
คนใช้ก็มีศักดินา รวมถึงการพัฒนาไปตามสังคมภายนอกอีกด้วย
ผมมามองย้อนคิดไปถึงชีวิตผู้คนในบ้านสวนพลู พอมามองถึงชีวิตของน้ามัย จึงสะดุดคิดถึง “ความไม่เท่าเทียม” ที่มีอยู่ แม้แต่ในหมู่ชีวิตของคนรับใช้ ที่สังคมไทยเรียกว่า “คนใช้” เพราะน้ามัยมีฐานะไม่เหมือนคนใช้อื่น ที่มีอยู่ราวสิบคนในบ้านสวนพลูนี้ และดูเหมือนจะ “ต่ำต้อย” ที่สุดในบ้านสวนพลูนี้อีกด้วย
ว่าตามลำดับความเป็นใหญ่ในหมู่คนใช้ในบ้านสวนพลู น้าเชื่อมคือคนใช้ที่ “ใหญ่ที่สุด” น้าเชื่อมคือคนขับรถประจำตัวของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อยู่กับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาตั้งแต่เด็ก ๆ ตั้งแต่ที่ท่านพาครอบครัวจากลำปางมาอยู่ที่ซอยสวนพลู ตอนนั้นเป็นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 น้าเชื่อมมาจากอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งคนผักไห่เป็น “ข้าเก่าเต่าเลี้ยง” ของตระกูลปราโมชมาแต่โบราณ ตั้งแต่ครั้งที่ท่านปู่ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนวรจักรธรานุภาพ ควบคุมบังคับบัญชาทหารฝีพาย อยู่ในครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทหารฝีพายเหล่านั้นได้มาจากหนุ่ม ๆ แถวภาคกลางเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่อำเภอผักไห่ดังกล่าว (บ้านทรงไทยของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่ซอยสวนพลู ก็สร้างปรุงขึ้นด้วยฝีมือช่างชาวผักไห่ จึงมีการทำพายอันเล็ก ๆ ยาวสัก 1 เมตร ประดับไว้เหนือประตูเข้าเรือนใหญ่ ในหมู่เรือนไทยที่บ้านสวนพลูนั้น) นอกจากน้าเชื่อมแล้วก็ยังมีคนอื่น ๆ อีก 3-4 คนในบ้านสวนพลูที่มาจากอำเภอผักไห่ ที่รวมถึงป้าจำรัสที่เป็นแม่ครัวประจำบ้านสวนพลูนั้นด้วย นอกจากนี้ยังมีที่มาจากอำเภออื่น ๆ คือ น้าหละ ที่เป็นพ่อบ้าน หรือภาษาเจ้านายเรียกว่า “ต้นห้อง” ที่มาจากอำเภอมหาราช และที่มาจากจังหวัดอื่น อย่างน้ามัยที่มาจากสระบุรี รวมทั้งที่ตอนหลัง ๆ มาจากภาคอีสาน ซึ่งเข้ามากรุงเทพฯตามญาติพี่น้องที่มาทำงานอยู่ในบ้านใกล้ ๆ กัน ที่เป็นญาติพี่น้องในตระกูลปราโมชที่ซอยสวนพลูนั้น
น้ามัยเป็นคนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จนดูเหมือนว่าไม่มีความสำคัญอะไรในบ้านสวนพลู เพราะไม่ค่อยมีใครได้พูดคุยด้วย แม้กระทั่งคนใช้ในบ้านสวนพลูด้วยกัน ประการหนึ่งก็คงเป็นด้วยเป็นคนต่างถิ่น ไม่ได้มาจากอยุธยาเหมือนบรรดาข้าเก่าเต่าเลี้ยงทั้งหลาย และอีกประการหนึ่งก็เพราะไร้ญาติขาดมิตร อาศัยอยู่ตามลำพัง ไม่มีครอบครัว รวมถึงนิสัยส่วนตัวที่รักความสันโดษ ที่แยกไปอยู่ปลายคลองสุดรั้วหลังบ้าน ในเวลาที่มีงานต่าง ๆ เช่น งานวันเกิดของเจ้าของบ้านสวนพลู น้ามัยก็ไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาให้เห็น แต่ก็ช่วยจัดสถานที่ดูแลจัดแต่งต้นไม้ดอกไม้ก่อนวันงาน และพอหลังงานเสร็จก็ออกมากวาดเก็บงานเกี่ยวกับต้นไม้ที่แกรับผิดชอบอยู่เท่านั้น ส่วนในเวลาปกติที่มีงานอะไร พอเสร็จงานของแกแล้ว แกก็จะเก็บตัวเงียบอยู่ใน “อาศรม” ท้ายบ้าน ถ้ามีใครไปเรียกแกจึงจะออกมา กระทั่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เรียกน้ามัยว่า “ชมบ” ที่หมายถึงสัตว์ในความเชื่อของคนโบราณ ที่มีความลึกลับชอบแอบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณบ้านโดยที่ไม่มีใครรู้ (ในพจนานุกรมมีความหมายถึง ผู้หญิงที่ตายในป่าและสิงอยู่ในบริเวณนั้น มีรูปร่างให้เห็นเป็นเงา ๆ แต่ไม่ทำอันตรายใคร) ยิ่งไปกว่านั้นแกก็ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร ซึ่งในความรับรู้ของผม น้ามัยนี้มีปัญหาน้อยที่สุดในหมู่คนใช้กว่า 10 คนในบ้านสวนพลูนั้น ซึ่งก็คงจากการที่แกไม่ชอบไปยุ่มย่ามในเรื่องใด ๆ กับใครนั่นเอง
คนใช้ที่ผมสนิทสนมที่สุดในบ้านสวนพลูคือน้าหละ เพราะต้องเจอกันตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน น้าหละเป็นคนที่ดูแลเรื่องอาหารการกิน หยูกยา และเสื้อผ้า ให้กับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ รวมถึงทำความสะอาดและดูแลบ้านเรือนไทยทั้งหมด โดยมีลูกชายของพี่หละเองกับเด็กรับใช้ที่มาจากอีสานอีก 2 คน เป็นลูกมือ นอกจากจะต้องดูแลท่านอาจารย์คึกฤทธิ์แล้ว ยังต้องดูแลสุนัขสุดโปรดของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อีก 2 ตัว คือสามสีกับเสือใบ ที่อยู่เคียงข้างตัวเจ้าของบ้านตลอดเวลานั้นด้วย ส่วนคนรถนั้นนอกจากน้าเชื่อมแล้ว ก็ยังมีผู้ช่วยอีก 2 คนที่ทางธนาคารกรุงเทพฯพาณิชยการส่งมาให้ (คนหนึ่งคือพี่เสือใหญ่ที่เคยเขียนถึงในลีลาชีวิตนี้แล้ว) ส่วนแม่ครัวก็คือป้าจำรัสกับผู้ช่วยที่เป็นลูกสาวอีก 2 คน ในขณะที่คนสวนมีเพียงคนเดียวคือน้ามัย ที่เป็นความหัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะสามารรถดูแลต้นไม้ดอกไม้นานาชนิด รวมถึงสนามหญ้าขนาดใหญ่ ในบ้านที่มีอาณาเขตกว่า 4 ไร่นั้นได้อย่างเป็นปกติ ไม่รวมถึงบรรดานกกาและปลาที่อยู่ในสระอีกจำนวนมากนั้นด้วย เมื่อพิจารณาดูตามนี้แล้ว น้ามัยดูเหมือนจะเป็นคนที่ “โอเวอร์โหลด” หรือทำงานหนักมากจนเกินกำลัง แต่ผมก็ไม่เคยเห็นน้ามัยจะบ่นอะไร หรือมีความบกพร่องในงานที่รับผิดชอบแม้แต่น้อย
ตอนที่ผมอยู่ในบ้านสวนพลู เป็นช่วงที่เริ่มจะมีแรงงานต่างด้าวเริ่มหลั่งไหลเข้ามาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น อันเนื่องมาจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าของรัฐบาลในสมัยนั้น ที่ละแวกใกล้ ๆ กันกับบ้านสวนพลูก็มีคนใช้จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง เริ่มจากในบ้านที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์สร้างให้คนเช่าในบริเวณใกล้ ๆ บ้าน ที่คนเช่าคนแรกคือ “เจ้าเขมร” ที่อพยพหนีภัยการเมืองมาจากกัมพูชา ก็ได้เอาคนรับใช้มาจากกัมพูชาด้วย 3-4 คน แล้วก็คงได้เชิญชวนญาติพี่น้องเข้ามาอีก โดยได้มาทำงานในบ้านของญาติ ๆ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่อยู่ในซอยสวนพลูนั่นเอง ส่วนแรงงานชาวอิสานที่มีอยู่ในแต่ละบ้านที่อยู่กันมาก่อนแต่เดิมนั้น ก็ได้ยกระดับฐานะตัวเองขึ้นเป็น “คนใช้เหนือคนใช้” คือไม่ค่อยอยากจะทำงานร่วมกับคนใช้ต่างชาตินั้นเท่าไหร่ คนใช้ชาวอิสานจึงเริ่มทำตัวเป็นปัญหาสำหรับเจ้าของบ้าน เช่น ไม่ทำงานตามที่สั่ง หรือไปสั่งคนใช้เขมรนั้นต่อ ๆ ไป รวมถึงเรียกร้องเอาค่าจ้างให้สูงกว่าคนใช้เขมร อันเป็นเหตุให้เจ้าของบ้านลดจำนวนคนใช้อีสานลงไป แล้วจ้างคนใช้เขมรทำแทน เพราะทำงานได้มากกว่าในขณะที่รับค่าจ้างน้อยกว่า (นี่ก็คงเป็นพัฒนาการมาถึงปัจจุบัน ที่คนใช้จากอิสานได้อันตรธานหายไปจากบ้านคนกรุงเทพฯ และรับเอาคนต่างชาติเพื่อนบ้านทำแทนมากขึ้น โดยเฉพาะคนใช้ชาวพม่าที่มีจำนวนมากที่สุดตามบ้านผู้มีฐานะ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้)
ผมเคยถามน้ามัยว่า ค่าจ้างที่ได้รับอยู่ทุกวันนี้พอกินพอใช้หรือไม่ น้ามัยบอกว่าเหลือเฟือ “เกินพอ” ทั้งที่น้ามัยน่าจะมีเงินเดือนอยู่ในอันดับท้าย ๆ ของบ้าน ในขณะที่คนใช้คนอื่น ๆ ดูเหมือนจะชักหน้าไม่ถึงหลัง มีคนใช้บางคนในบ้านแอบนินทาน้ามัยให้ผมได้ยินว่า แกมีเมียและลูกไว้ที่บ้านสระบุรี และมีที่ดินแปลงใหญ่กว่า 20 ไร่อยู่ที่นั่น
เขาว่าแข่งโชควาสนานั้นแข่งไม่ได้ จะมีที่แข่งได้ก็คือ ใครจะน่าอิจฉากว่าใครเท่านั้น