ศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ เมื่อวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 “สิงโตน้ำเงินคราม” หรือ เชลซี เฉือน เอาชนะ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 จากประตูชัยของ “ไค ฮาเวิร์ตซ์” ในนาที 43 ส่งผลให้พวกเขาผงาดคว้าแชมป์ “ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก” เป็นสมัยที่ 2 ต่อจากฤดูกาล 2011-12
โดยก่อนเกมการแข่งขัน “กูรู” แต่ละสำนัก ต่างยกให้ “เรือใบสีฟ้า” ของยอดกุนซื่อ “เป็ป กวาร์ดิโอลา” ที่เพิ่งพา พลพรรคคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปครอบครองเป็นตัวเต็งในการคว้าแชมป์รายการยุโรปเลยทีเดียว
รวมทั้งไม่มีใครคิดหรือ “มโน” เลยว่า ทีมของ “โธมัส ทูเคิล” จะเล่นไม้ไหน ในการดวลเกือกกับ “ยอดทีม” อย่าง “เรือใบสีฟ้า” ที่เหนือกว่าทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ตัวกุนซือ ตัวผู้เล่น ที่แตกต่างกับ "สิงห์สำอาง" อย่างสิ้นเชิง
แต่อย่างที่เราเห็นกันว่า นับตั้งแต่ “โธมัส ทูเคิล” ก้าวเท้าข้างแรกเข้ามายัง “สแตมฟอร์ด บริดจ์” ทีมสิงห์สำอาง เปลี่ยนไปเป็นคนละทีม จากที่ดูไร้ทิศทาง แพ้ถึง 5 จาก 8 เกม หล่นไปอยู่ถึงที่ 10 ของตาราง “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” จนกลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ในการสั่งปลด “แฟรงค์ แลมพาร์ด” กุนซือลูกหม้อให้ต้องเก็บข้าวของออกจากทีม
และเชื่อว่า จากฝีมือของ “โธมัส ทูเคิล” บรรดา “แฟนบอล” คงจะพอรู้แล้วว่าทำไม “เชลซี” จึงต้องปลด “แฟรงค์ แลมพาร์ด” ในตอนนั้น
จากผลงานอัน “สุดสะเด่า” ของยอดกุนซือชาวเยอรมัน ในครั้งนี้ ทำให้ “บอร์ดบริหาร” ของเชลซี ไม่รอช้า เตรียมต่อสัญญาฉบับใหม่ อีก 2 ปี พร้อมเงื่อนไขขยายเพิ่มอีก 1 ปี หลังจากที่เซ็นสัญญา 18 เดือนกับพวกเขาเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ “โธมัส ทูเคิล” นับว่าเป็นกุนซือที่แก้สถานการณ์เก่ง และมีประสบการณ์ เคยนำทีม ที่คุมก่อนหน้านี้ คว้าแชมป์มาแล้วหลายรายการ โดยเฉพาะการวางหมาก กึ๋น การแบกรับความกดดัน จิตวิทยา และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จึงแทบไม่เป็นรองใคร
“เชลซี” ในมือ “โธมัส ทูเคิล” ในวันนี้ จึงน่าสนใจจริงๆ ถ้าเล่นได้แบบนี้ต่อไป ดีไม่ดี ปีหน้าอาจกลับมาเขย่าบัลลังก์แชมป์อีกครั้งก็เป็นได้