รายงานข่าว เปิดเผยว่าจากกรณีออกหมายจับนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ใน 3 ข้อหา ประกอบด้วย 1.พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร 2.ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย 3.กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป จากการได้สอบสวนปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยสัมภาษณ์บุคคล 384 ปาก และได้สอบปากคำเข้าสำนวนการสอบสวน 120 ปาก สอบปากคำพยานผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ และพยานผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไว้แล้ว 31 ปาก รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นพยานวัตถุจากจุดเกิดเหตุที่น้องชมพู่ถูกนำตัวไป เส้นทางที่เชื่อว่าเป็นเส้นทางการก่อเหตุ ไปจนถึงจุดพบศพบนภูเหล็กไฟ รวม 113 ชิ้น พยานวัตถุจากกลุ่มบุคคลผู้ต้องสงสัย หรือผู้เกี่ยวข้อง 166 ตัวอย่าง แล้วดำเนินการส่งตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบ ตลอดจนพยานหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องจากข้อมูลโซเชียลมีเดีย ข้อมูลการให้สัมภาษณ์ ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลต้องสงสัย ทั้งช่วงก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล และประเมินผลไว้เรียบร้อยแล้ว โดยผลจากการรวบรวมพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า การหายตัวไปนั้นอยู่ในช่วงเวลาระหว่าง 09.11-09.49 น. มีช่วงเวลาที่คนร้ายสามารถเข้าไปก่อเหตุเพียง 38 นาที กระทั่งวันที่ 14 พ.ค.63 เวลา 19.00 น.พบศพน้องชมพู่อยู่บนภูเหล็กไฟ โดยพบมีการใช้ของมีคมด้านเดียว สับฟัน เถือ ตัดไปที่บริเวณเส้นผมของน้องชมพู่ด้วย เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ตามความเชื่อ จากการชันสูตรพลิกศพสันนิษฐานสาเหตุการเสียชีวิตว่า เสียชีวิตช่วงเวลาระหว่างวันที่ 12 พ.ค.63 เวลาประมาณ 14.30 น.ถึงวันที่ 13 พ.ค.63 เวลาประมาณ 14.30 น.จากการขาดน้ำขาดอาหาร ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่พบบาดแผลที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้ ส่วนการการรวบรวมพยานหลักฐานล่าสุด สรุปได้ว่า 1.การกระทำของคนร้ายคดีนี้ มีการพาเหยื่อไปทิ้งที่ไกลๆ เพื่ออำพรางคดีให้ความผิดพ้นตัว 2.ช่วงเวลาที่น้องชมพู่ หายตัวไปจากบริเวณจุดเกิดเหตุ พี่สาวน้องชมพู่ อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องชมพู่ ทั้งที่อุปนิสัยของน้องชมพู่ จะเป็นคนหวงตัว หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดจะร้องเสียงดังทันที 3.บริเวณจุดพบศพบนภูเหล็กไฟ พบรองเท้า รถแบ็กโฮของเล่นตกอยู่ จึงยืนยันได้ว่าน้องชมพู่ เต็มใจเดินไปกับคนร้าย มิฉะนั้นแล้วของเล่น หรือรองเท้าจะไม่ติดตัวน้องชมพู่ ไปถึงจุดพบศพอย่างแน่นอน จากทั้ง 3 ประเด็น มีพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ พยานผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น นักจิตวิทยา นักโภชนาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์ สุนัขดมกลิ่น เป็นต้น ประกอบการจำลองเหตุการณ์โดยตำรวจฝ่ายสืบสวน ผลการตรวจชันสูตรศพ ผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ยืนยันว่า ลุงพล อาจเป็นบุคคลที่พาตัวน้องชมพู่ ไปจากบ้านที่เกิดเหตุ เพื่อเดินทางไปรับส่งพระด้วยกัน โดยคาดว่าระหว่างเดินทางไปนั้นอาจเกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่ง จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถพาน้องชมพู่ไปด้วยได้ จึงนำตัวน้องชมพู่ ไปซุกซ่อนไว้ แล้วเดินทางไปรับพระ เมื่อพบกับพระจึงเล่าเรื่องราวน้องชมพู่หายให้พระฟังในทันที ทั้งที่ยังไม่มีผู้ใดทราบเหตุดังกล่าว เมื่อเสร็จธุระจึงย้อนกลับมา และพบน้องชมพู่ยังไม่เสียชีวิต ก่อนนำไปทิ้งไว้บนภูเหล็กไฟ จนกระทั่งน้องชมพู่เสียชีวิต จากการขาดน้ำ และขาดอาหารในเวลาต่อมา