เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีสังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า สำหรับผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 15 ราย ในจำนวนนี้มี 4 ราย เป็นชาวจีน 2 ราย ไทย 1 ราย มาจากเมียนมาลักลอบเข้าเมืองผ่านช่องทางธรรมชาติ และอีก 1 ราย เป็นคนไทย มาจากกัมพูชาลักลอบเข้าเมืองผ่านช่องทางธรรมชาติ ขณะที่ ตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีผู้ลักลอบเข้าประเทศ 211 ราย สำหรับภาพรวมการแพร่ระบาดในประเทศพบคลัสเตอร์ใหม่ อาทิ โรงงานน้ำแข็ง จ.สมุทรปราการ ส่วนพื้นที่ กทม. ขณะนี้มี 48 คลัสเตอร์ โดยพบคลัสเตอร์ใหม่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเขตลาดพร้าว มีผู้ติดเชื้อถึง 23 ราย ซึ่งทาง กทม.มีการปรับแผนจะลงตรวจหาเชิงรุกในพื้นที่ลาดพร้าวเพิ่มขึ้น พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ในที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กได้มีการหยิบยกกรณีการติดเชื้อในโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ที่ จ.สระบุรี มาหารือ เนื่องจากขณะนี้มีการกระจายเชื้อไปหลายจังหวัด โดยโรงงานดังกล่าวมีแรงจำนวนมาก เป็นคนไทย 4 พันกว่าคน ชาวต่างชาติพันกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชา ซึ่งการติดเชื้ออยู่ในหลายแผนกด้วยกัน กระจายติดไปทั้งโรงงาน กรมควบคุมโรควิเคราะห์ว่า พนักงานคนไทยจะอยู่บ้านพักส่วนตัวหรือหอพักโดยรอบโรงงาน ส่วนแรงงานต่างชาติจะอยู่หอพักที่โรงงานจัดให้ บางจุดค่อนข้างแออัด อยู่กันห้องหนึ่ง 3-6 คน ใช้พื้นที่กลาง ร่วมรับประทานอาหาร แต่พบว่าในส่วนของแรงงานฝีมือหรือช่างแม้จะอยู่ปะปนกับแรงงานอื่นๆแต่มีการติดเชื้อน้อย เป็นเพราะแรงงานกลุ่มนี้มีมาตรการส่วนตัวเข้มข้นและระมัดระวังตัวอย่างสูงสุด อย่างไรก็ตาม สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ได้รายงานตัวเลขการพบผู้ติดเชื้อในโรงงานต่างๆ ว่าในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมามีการติดเชื้อใน 10 จังหวัด ส่วนใหญ่จะติดในโรงงานขนาดใหญ่ที่มีแรงงานเกิน 200 คน เนื่องจากสถานที่แออัด ระบบระบายอากาศไม่ดี จุดสัมผัสไม่สะอาด มีการรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าโรงงานที่มีขนาดใหญ่พบการติดเชื้อมากถึง 20% โรงงานขนาดเล็กติดเชื้อเพียง 5% ทั้งนี้ ตัวเลขโรงงานที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมไว้ 63,000 แห่ง โดยมีโรงงานที่มีผู้ติดเชื้อและเข้าสู่การประเมินตนเองในแบบประเมินตนเองด้านสาธารณสุข จำนวน 8,200 โรงงาน แต่พบว่าโรงงานขนาดใหญ่ 3,300 โรงงาน เข้าไปประเมินเพียง 650 โรงงาน ทั้งที่เป็นเป้าหมายที่มีการติดเชื้อมากกว่าโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่มีการเฝ้าระวังตนเองค่อนข้างน้อยเพียง 20% “จึงเน้นย้ำให้ภายในวันที่ 15 มิ.ย. โรงงานขนาดใหญ่ที่มีรายชื่ออยู่ในกระทรวงอุตสาหกรรมต้องเข้าไปประเมินตนเองให้ครบถ้วน 100% จะเลือกทำบางส่วนไม่ได้ และขอให้ตอบตามความเป็นจริง หากได้คะแนนน้อยหรือไม่ผ่านเกณฑ์จะมีทีมพี่เลี้ยงลงพื้นที่ไปช่วยปรับปรุงแก้ไขให้ผ่าน แต่หากขอความร่วมมือแล้วเพิกเฉย ไม่ประเมินตนเอง เป็นเหตุให้มีการติดเชื้อและกระจายไปที่อื่น ตรงนี้จะมีการพิจารณาบทลงโทษ แต่หากโรงงานทำได้ดี จะมีการให้รางวัล ปรับให้เป็นสถานประกอบต้นแบบ”