ต้องยอมรับว่า แรงฤทธิ์พ่นพิษมากเหลือจริงๆ
สำหรับ วิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 สารพัดสายพันธุ์ ที่ยังคงอาละวาดต่อเนื่องในพื้นที่กว่า 220 ประเทศ/เขตการปกครอง ทั่วโลก ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาเบาบางลงแต่ประการใด มิพักต้องพูดถึงจะยุติลงกันเมื่อไหร่?
โดยนับตั้งแต่เริ่มแรกที่ไวรัสโควิดอวดโฉมเมื่อปลายปี 2019 (พ.ศ. 2562) ในนาม “ไวรัสอู่ฮั่น” ตามชื่อเมืองที่พบครั้งแรก คือ นครอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น “ไวรัสโคโรนา 2019” หรือ “โควิด-19” โดยองค์การอนามัยโลก หรือ “ดับเบิลยูเอชโอ” (ฮู) ในเวลาต่อมา ปรากฏว่า ถึง ณ ชั่วโมงนี้ ไวรัสโควิด ก็แผลงฤทธิ์ทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนสะสมมากเกือบ 160 ล้านคน ในจำนวนนี้ถูกไวรัสมรณะคร่าชีวิตไปแล้วกว่า 3.3 ล้านคน
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาของไวรัสโควิดที่กลายพันธุ์จนเป็นสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งกำลังเป็นที่วิตกกังวลอีกต่างหาก เพราะส่งผลกระทบด้านลบต่อประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในเวลานี้อีกต่างหาก
นั่น! เป็นผลกระทบของโรคโควิดที่มีต่อระบบสาธารณสุขโลก
นอกจากนี้ โควิด-19 ยังกระหน่ำไปยังระบบอื่นๆ ได้แก่ เศรษฐกิจภาคส่วนต่างๆ เช่น การปิดกิจการ การเลิกจ้างงาน เป็นต้น สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล ชนิดที่จรดราคากันไม่ลง เพราะเกินประมาณการ เนื่องจากวิกฤติโรคระบาดยังไม่สิ้นสุด
ใช่แต่เท่านั้น ไวรัสมรณะยังส่งผลกระทบต่อถิ่นที่อยู่ของประชากรตามเมืองต่างๆ ด้วย จากการที่ประชากร
โยกย้ายถิ่นฐาน เพื่อหลบหนีภัยโรคระบาด หรืออย่างน้อยก็เป็นปัจจัยกระตุ้นการตัดสินใจย้ายถิ่นฐานของผู้คน จากเดิมที่ยังคงลังเลใจว่าจะอพยพย้ายถิ่นกันดีหรือไม่?
ตามการศึกษาของคณะนักวิชาการจาก “มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์” ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งจับมือกับนักวิชาการจาก “สถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “จอร์เจียเทค” ในนครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐฯ ได้ติดตามศึกษาการย้ายถิ่นฐานของพลเมืองชาวอเมริกัน ในระหว่างที่ประเทศกำลังเผชิญหน้ากับโรคระบาดของไวรัสโควิด ตลอดช่วงปี 2020 (พ.ศ. 2563) ถึง 2021 (พ.ศ. 2564) ที่กำลังจะเข้ากลางปีอีกไม่กี่เพลานี้
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์วิกฤติโรคระบาดโควิดในประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องบอกว่า หนักหนาสาหัสสากรรจ์ที่สุด เพราะมีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิดมากเป็นอันดับ 1 ของโลก จำนวนมากกว่า 33 ล้านคน เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เสียชีวิตก็มีจำนวนมากที่สุดในโลกเช่นกัน คือกว่า 5.95 แสนคน
ทั้งป่วย ทั้งตาย มากมายด้วยประการฉะนี้ จึงเป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดกระแสการโยกย้ายถิ่นฐานของอเมริกันชนคนสหรัฐฯ กันอย่างชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน หากไม่นับในช่วงยุคสมัย “มุ่งหน้าไปสู่ตะวันตก” หรือ “โก เวสต์ (Go West)” ในยุคตื่นทองเมื่อราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งในครั้งนั้นโยกย้ายถิ่นฐาน เพราะ-เพื่อไปหาชีวิตใหม่ที่คาดว่าน่าจะดีกว่าอยู่ที่เดิม
ทว่า สำหรับการย้ายถิ่นฐานของชาวสหรัฐฯ ใน 2020 คาบเกี่ยวกับ 2021 นี้ มีเหตุปัจจัยมาจากเรื่องโรคระบาดเป็นประการสำคัญ
โดยผลการศึกษา ระบุว่า การโยกย้ายถิ่นฐานชาวอเมริกัน ณ ปัจจุบัน ก็เก็บข้าวของจากที่พักอาศัยตามเมือง ตามมหานครใหญ่ๆ เช่น มหานครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก นครลอสแอนเจลิส นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นต้น ไปยังเมืองเล็กๆ ตามรัฐต่างๆ จำนวนปริมาณ ก็หลายแสนคนแล้ว ซึ่งปรากฏเป็นตัวเลขทางสถิติของ “สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรแห่งชาติสหรัฐฯ” (US Census Bureau) เอาไว้ด้วย อันแสดงให้เห็นว่า เป็นปรากฏการณ์โยกย้ายถิ่นฐานอย่างเป็นทางการ เพราะถึงขั้นผู้โยกย้ายไปแจ้งการย้ายถิ่นฐานกับทางการ นั่นเอง
ตามรายงานผลการศึกษาของสองสถาบันอุดมศึกษา และสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรแห่งชาติสหรัฐฯ ก็ระบุว่า เขตเมืองใหญ่ หรือเมโทร ใน “มหานครนิวยอร์ก” รัฐนิวยอร์ก เสียประชากร เพราะอพยโยกย้ายออกไปจำนวนมากที่สุด คือกว่า 216,000 คน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็ราวร้อยละ 0.5 ของประชากรทั้งหมดเลยทีเดียว ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงมหานครนิวยอร์กแล้ว ถือเป็แหล่งโรคโควิดระบาดรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้ สำหรับในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีมหานครเมืองใหญ่อื่นๆ ที่ต้องเสียประชากรไปจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่เท่ากับมหานครนิวยอร์ก ที่ร้อยละ 0.5 นั่นคือ นครลอสแอนเจลิส นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์
โดยประชากรที่หายไปจากบรรดาเมืองใหญ่ข้างต้น ไป ณ ที่แห่งใดนั้น ก็ได้รับคำตอบว่า ย้ายถิ่นฐานไปลงหลักปักฐานตามเมืองเล็กๆ ในรัฐอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐทางตอนใต้
อาทิเช่น เมืองโกโกบีช รัฐฟลอริดา นอกจากนี้ ยังเมืองเล็กๆ ในรัฐเซาท์แคโรไลนา เทกซัส ไอดาโฮ และยูทาห์ เป็นต้น
ทั้งนี้ เป็นน่าสังเกตด้วยว่า เมืองเล็กๆ ที่ชาวอเมริกันย้ายถิ่นฐานไปลงหลักปักฐานกันใหม่นี้ มีบรรยากาศ สภาพแวดล้อมดี ภูมิทัศน์สวยงาม และหลายเมืองด้วยกัน เป็นภูมิลำเนาเดิมของครอบครัวของพวกเขา
จากการสอบถามเหตุปัจจัยของย้ายถิ่นฐานอย่างมโหฬาร ณ เวลานี้ ก็ได้รับคำตอบหลักๆ 3 ประการด้วยกันคือ ยุคสมัยนี้ที่ทำงานใดก็ได้ผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถส่งงานจากเมืองเล็กอื่นๆ ไปยังบริษัทที่ตนสังกัดตามเมืองใหญ่ๆ ได้อย่างสบาย การได้อยู่ครอบครัวอันอบอุ่น และเพื่อหนีโรคโควิดที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก โดยสาเหตุเรื่องโรคระบาดจากโควิด ถือเป็นสิ่งกระตุ้น หรือตัวเร่งให้เกิดการตัดสินใจย้ายถิ่นฐาน โดยมีแรงจูงใจจากการทำงาน ณ ที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องที่ออฟฟิศเท่านั้น และความต้องการที่จะอยู่กับครอบครัว เป็นประการสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องเมืองเล็กๆ มีอัตราค่าครองชีพต่ำกว่าเมืองใหญ่ๆ ก็เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจตกสะเก็ดในห้วงวิกฤติโควิดพ่นพิษเล่นงาน ณ ชั่วโมงนี้