“พิสิฐ” หวั่นหากสภาอนุมัติงบ 65 เปิดทางรัฐก่อหนี้เกิน 60 % ส่อผิดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ชี้ นายกฯแถลงกลางสภาฯไม่สมบูรณ์ เตือนกู้เงินทำระบบงบประมาณวิกฤต-อ่อนแอ ในการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ปี 65 วันที่สอง ต่อมา นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า การจัดสรรงบรายจ่ายปี2565 น่าผิดหวัง งบเอสเอ็มอีถูกตัด รัฐบาลไม่เคยให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี การตัดงบบรรษัทประกัสสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)คือ การตัดโอกาสที่เอสเอ็มอีจะได้กู้เงิน ตัวเลขล่าสุด รัฐบาลมียอดค้างจ่ายบสย. 56,000 ล้านบาท ทำให้ธนาคารไม่ปล่อยกู้เอสเอ็มอี 4 ปีที่ผ่านมา กลุ่มทุนใหญ่กู้เงินได้มากขึ้น 35% ผิดกับเอสเอ็มอีกู้ได้ลดลง ถูกตัดออกจากวงจรการเข้าถึงสินเชื่อ รัฐบาลปล่อยทุนใหญ่กลืนกินเอสเอ็มอี รัฐบาลไม่ต้องการช่วยเอสเอ็มอี ทำให้เอสเอ็มอีเสี่ยงต่อการปิดกิจการจำนวนมาก ต่อมาเวลา 10.20 น. นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรมช.คลัง อภิปรายว่า ขณะนี้เรากำลังประสบกับภาวะวิกฤตงบประมาณ ตามกฏหมายวินัยการเงินการคลัง มาตรา 20 ระบุชัดเกี่ยวกับการขาดดุล และงบลงทุน ซึ่งเราทำผิดข้อนี้ แม้จะบอกว่าได้แก้ไขโดยมีการแจ้งกล่าวก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบงบประมาณขณะนี้เข้าสู่จุดบอด เรากำลังจะประสบปัญหาชนเพดาน ตนไม่ได้ตำหนิรัฐบาล เพียงแต่อยากให้เราดูแลระบบงบประมาณให้ดีจะได้เป็นเครื่องมือสำคัญของประเทศ “ผมเป็นห่วงที่นายกฯชี้แจงเรื่องงบลงทุน โดยเพิ่มแหล่งลงทุน โดยเฉพาะการกู้เงินตามพ.ร.บ.หนี้ ยืนยันว่าไม่ใช่การแก้ไขปัญหางบประมาณ และจะยิ่งทำให้ระบบงบประมาณอ่อนแอลง การที่พยายามจะหลบโดยไปใช้พ.ร.ก.กู้เงิน จะทำให้รัฐสภาไม่ได้ตรวจสอบ ประชาชนไม่ทราบ การประกาศใช้พ.ร.ก. แล้วนำงบไปใช้เลย จะทำให้ระบบงบประมาณเกิดความเสียหายมาก ดังนั้น ยืนยันว่าพ.ร.ก.กู้เงินไม่ใช่หลักงบประมาณที่ดี” อดีตรมช.คลัง กล่าว และว่า ในระยะสั้นเห็นด้วยที่รัฐบาลจะจัดงบให้เศรษฐกิจที่ขาดการใช้จ่าย ที่เศรษฐกิจกำลังฝืดเคือง และอยากเห็นคนจัดสรรงบนำงบไปช่วยโควิดโดยตรง งบที่ยังไม่จำเป็นก็อาจรอก่อนได้ ที่สำคัญ ถ้าโควิดหายไป เราต้องกลับฟื้นมาได้ หลายประเทศไม่อาจฟื้นระบบการคลังเป็นปกติได้ และเจอวิกฤตใหม่ ดังนั้น ตนจึงอยากให้สังคยนาระบบงบประมาณใหม่ ทบทวนว่าถูกต้องหรือไม่ที่บอกว่าการสร้างรั่ว สร้างป้ายขนาดใหญ่ สร้างถนนที่ไม่มีรถวิ่งคือการลงทุน สิ่งเหล่านี้ต้องทบทวน นายพิสิฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ระบบงบประมาณกำลังอยู่ในวิกฤต เพราะค่าใช้จ่ายกำลังบวมขึ้น ทำให้เม็ดเงินที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบกลางกว่า70เปอร์เซ็นต์ เป็นสวัสดิการข้าราชการ ฐานะการคลังและหนี้ของรัฐบาลกำลังจะเป็นตัวปัญหาใหญ่ เพราะเรื่องการใช้จ่ายโควิดที่มีการกู้ 1 ล้านล้านบาท กับกู้อีก 5 แสนล้านบาท ประกอบกับรายได้ของรัฐบาลที่ตกต่ำ เพราะเศรษฐกิจฝืดเคือง แม้เจ้าหน้าที่พยายามจะบอกว่าหนี้สาธารณะยังไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้ที่ 60 เปอร์เซ็นต์ และปั่นตัวเลขจีดีพี ตนไม่อยากให้เราทำผิดกฎหมายโดยอนุมัติงบประมาณไป เพราะงบประมาณรายจ่ายปี65 จะขาดดุลถึง 7 แสนล้านบาท นายพิสิฐ กล่าวด้วยว่า ถ้าสภาฯอนุมัติงบปี65 เท่ากับเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลทำผิดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มาตรา 10 (1) กำหนดให้นายกฯต้องแถลงฐานะการคลัง แต่การแถลงของนายกฯเมื่อวันที่ 31 พ.ค. ยังมีความไม่สมบูรณ์ หรือไม่แน่ใจว่านายกฯจงใจทำผิดพ.ร.บ.หรือไม่ นายกฯแถลงเพียงตัวเลขหนี้ และตัวเลขไม่กี่ตัวที่ไม่ใช่ฐานะการคลัง ประกอบกับในมาตรา 11 กำหนดว่าต้องแถลงวิธีการหาเงินด้วย แต่นายกฯไม่แถลง ตนไม่อยากเห็นเราทำผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นกฎหมายที่นายกฯเซ็นเอง รัฐบาลไม่แสดงฐานะการคลัง ไม่อธิบายหนี้ที่เสนอเพิ่มเติม และไม่แสดงวิธีการหาเงินชดเชยการขาดดุล