ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 31 พ.ค.64 การอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 65 วันแรกเป็นไปอย่างจืดชืด ไม่มีอะไรหวือหวาเท่าที่ควร ส.ส.ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ยังสลับกันขึ้นมาอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2565 โดยส.ส.ฝ่ายค้านส่วนใหญ่อาทิ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย นพ.ประสงค์ บูรณพงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายไปในแนวทางเดียวกัน พุ่งเป้าไปที่การจัดทำงบประมาณแบบผิดฝาผิดตัว ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง โดยตัดลดงบประมาณด้านการสาธารณสุข การศึกษา สวัสดิการประชาชน ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาโควิด และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมถึงไม่เห็นด้วยกับการไปออกพ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มขึ้น โดยไม่มีรายละเอียดการใช้จ่าย เหมือนการตีเช็คเปล่า โดยเฉพาะน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า การจัดงบปี 2565 แสดงให้เห็นว่า รัฐราชการใหญ่โตเทอะทะขึ้นเรื่อยๆ โดยค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือนและสวัสดิการข้าราชการสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไปกระทบงบประมาณส่วนอื่นๆ รัฐบาลต้องเลือกตัดงบสวัสดิการประชาชน เช่น บัตรทอง งบฟื้นฟูประเทศ งบวิจัย การศึกษา เอสเอ็มอี ถ้ารัฐบาลยังเอาหลังพิงกฎหมาย มัดมือมัดเท้าประชาชน มัดตราสังข์ประเทศ โยนความรับผิดของตัวเองออกจากตัว และเลือกโยนภาระมาให้ประชาชน เพราะฉะนั้นเอาข้าราชการมาบริหารประเทศแทนรัฐบาลได้เลย ไม่ต้องมีรัฐบาลก็ได้ ตราบใดที่ท่านไม่มีภาวะผู้นำในยามวิกฤต ไม่กล้าตัดสินใจทำเรื่องยากๆที่สุ่มเสี่ยงกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ "ประเทศไทยไม่มีวันที่จะพ้นจากวังวนของวิกฤติไปได้ ไม่มีวันที่จะฟื้นตัว ต่อให้วิกฤติโควิดหมดไปแล้ว ประเทศก็คงมีแผลเป็นทางเศรษฐกิจมากมาย ประเทศของเราจะยังคงติดอยู่ในเหวลึกไปอีกนาน ซึ่งเรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐบาลแทบทั้งสิ้นแต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และไม่สามารถรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณพิกลพิการฉบับนี้ได้ และเรียกร้องให้ถอนร่าง พ.ร.ก.เงินกู้ที่กำลังจะเข้าสู่สภาออกไปด้วย รวมถึง นายกฯ ต้องลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และให้รัฐบาลใหม่ออก พ.ร.บ.กู้เงิน และจัดทำงบกลางปีเพื่อชดเชยสวัสดิการ การศึกษา และงบประมาณฟื้นฟูประเทศ" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง พรรคภูมิใจ พรรคประชาธิปัตย์ออกมาติติงการจัดทำงบประมาณดังกล่าวไม่ตอบโจทย์ อาทิ นายกนก วงศ์ตระหง่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าเอสเอ็มอีใกล้ตายเเต่อัดฉีดเงินแค่ทายาเเดง แต่งบพัฒนาบุคลากรภาครัฐเฉลี่ย คนละ 504,435 บาท แต่งบฐานรากตกหัวละ 174 บาท โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย นายชาดา ไชยเศรษฐ ส.ส.อุทัยธานี ถึงขนาดชวนนายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกฯและรมว.สาธารณสุขกลับบ้าน หลังถูกหั่นงบทุกกรมของกระทรวงสาธารณสุขในการนำไปต่อสู้กับโควิด-19 ด้านนายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง และโฆษกพรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า สถานการณ์ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างรุนแรง จึงไม่แปลกที่จะเห็นการจัดสรรงบในปีนี้มีการปรับลดเหลือ 3.1ล้านล้านบาท สถานการณ์ขณะนี้ตนคาดหวังว่าการจัดสรรจะเป็นไปตามสถานการณ์ประเทศกำลังเผชิญกับมหาวิกฤตโควิด ต้องจัดสรรไปที่กระทรวงหลักๆคือกระทรวงสาธารณสุข แต่ตัวเลขที่เห็นกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น จึงเป็นความผิดหวังในการจัดสรรของสำนักงบประมาณ รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณส่วนท้องถิ่น รวมทั้งในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไม่ได้สอดคล้องและเป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีในการเปิดประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ซึ่งมีหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์การทองเที่ยว ในปีที่แล้วมีการจัดสสรรงบประมาณเป็นจำนวน 4.8 พันล้าน แต่ปีนี้กลับถูกตัดเหลือเพียง 2.8 พันล้าน หรือถูกตัดไปถึง 2 พันล้าน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการจัดสรรงบที่ไม่สอดคล้องกับนโยบาย นายภราดร กล่าวต่อว่า ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขมีการตัดงบกว่า 4 พันล้าน อีกทั้งค่าตอบแทนอสม.จำนวน 6 พันล้านบาทสำนักงบประมาณก็โอนมาให้ไม่ครบ ทั้งยังตัดงบกรมควบคุมโรคไม่อีก 500 ล้านบาท เช่นเดียวกับงบสปสช.ที่มีการจัดสรรงบที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ตรงนี้ถือเป็นความเจ็บปวดของกระทรวงสาธารณะสุข สวนทั้งกับนโยบายนายกฯในการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วประเทศ รวมทั้งสวัสดิการในการดูแลบุคลากรทางการแพทย์ และอสม.โดยเฉพาะเบี้ยเสี่ยงภัยพบว่า กว่า 1 ปียังไม่ได้รับการจัดสรรงบในส่วนนี้ สิ่งเหล่านี้ตนจึงอยากสะท้อนให้เห็นถึงการจัดสรรที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่วนการออกพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านที่มีการระบุว่าจะมีการจัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุข 3 แสนล้าน เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดหวังได้เพราะเรามีกำแพงสำคัญคือสภาพัฒน์ฯ ทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่ตนรู้สึกผิดหวัง และหวังว่าจะมีการนำข้อแนะนำเหล่านี้ไปปรับแก้ในชั้นกมธ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณดังกล่าว และขอเรียกร้องอย่านำเรื่องโควิดมาเป็นประเด็นทางการเมือง และขอให้ร่วมแรงร่วมใจแล้วเราจะผ่านไปด้วยกัน