"บิ๊กตู่" แจงสภาฯงบปี 65 ห่วงโควิด-19 ฉุดเศรษฐกิจปี 64 ไม่โตตามเป้า แจงยุทธศาสตร์ใช้งบ 6 ด้าน มั่นใจใช้งบโปร่งใส-พร้อมตรวจสอบได้ ขอสภาฯใช้เวลา 3 วัน อย่างสร้างสรรค์ เพื่อประชาชน ด้าน"ผู้นำฝ่ายค้าน"เปิดเวทีอัดรัฐบาลจัดงบ 65 อยู่บนโลกคนละใบกับปชช. ทำเหมือนสถานการณ์วิกฤตดูปกติ บริหารจัดการวัคซีนสุดพลาด ซัด"นายกฯ"ไร้วิสัยทัศน์ แก้เศรษฐกิจเหลว ดีแต่กู้แหลก
ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 31 พ.ค.64 ได้มีประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2565 วงเงิน 3.1ล้านล้านบาท วาระแรก มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระประชุม นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) ชี้แจงว่า การอภิปรายงบประมาณวาระแรก ใช้เวลา 3วัน มีเวลาทั้งหมด 47ชั่วโมง 30นาที เป็นของฝั่งรัฐบาลและฝ่ายค้านฝ่ายละ 22ชม. ประธานในที่ประชุม 3 ชั่วโมง 30นาที การอภิปรายจะพิจารณาจนถึงเวลา 01.00น.ของทุกวัน ขณะที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) ชี้แจงว่า กังวลเรื่องประท้วงขัดจังหวะขอให้มีน้อยลง เพื่อบริหารจัดการเวลาให้ลงตัว ขอให้ประธานควบคุมด้วย
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี2565 ตั้งไว้ 3.1ล้านล้านบาท เป็นการดำเนินงบประมาณแบบขาดดุล โดยดำเนินการให้สอดคล้องสภาวะทางเศรษฐกิจภายใน ประเทศ รวมทั้งสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี2564 จะขยายตัวร้อยละ 2.5-3.5 อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย ปี2564 ได้แก่ ความไม่แน่นอนสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศที่มีความรุนแรงและยืดเยื้อมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ นำไปสู่การดำเนินมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดมากขึ้น ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดจะขยายตัวร้อยละ 4-5 ตามการขยายตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภาคต่าง ประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศภายหลังการเดินทางระหว่างประเทศเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึงและนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ของหลายประเทศที่เป็นต้นทางของนักท่องเที่ยว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ2565 รัฐบาลคาดการณ์จะจัดเก็บรายได้ภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่นๆรวม 2.51 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ10.26 จากปีก่อน ส่วนหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มี.ค.2564 มี 8.4ล้านล้านบาท คิดเป็น54.3 ของจีดีพี ยังอยู่ภายใต้กรอบตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังที่กำหนดไว้ร้อยละ60 ขณะที่สถานะเงินคงคลัง วันที่ 30 เม.ย.2564 มีจำนวน 372,784 ล้านบาท รัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด แต่ภาคธุรกิจและครัวเรือนมีความเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังไม่ฟื้นตัวจากการระบาดระลอกแรกและได้รับผล กระทบเพิ่มเติมจากการระบาดระลอกใหม่ ทำให้รายได้ ความสามารถการชำระหนี้ลดลง โดยสาระสำคัญงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 แบ่งเป็น1.งบกลาง 571,047 ล้านบาท 2.งบประมาณร่ายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ 1.03ล้านล้านบาท 3.งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ 208,177 ล้านบาท 4.งบประมาณรายจ่ายบุคลากร 770,160 ล้านบาท 5.งบประมาณรายจ่ายเงินทุนหมุนเวียน 195,397ล้าบาท 6.งบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ 297,631ล้านบาท 7.งบประมาณราย จ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 596.7 ล้านบาท 8.งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย 24,978.6 ล้านบาท
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี2565 จำแนกตามยุทธศาสตร์ได้ 6ด้าน ได้แก่ 1.ด้านความมั่นคง 387,909 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.5 ของวงเงินงบประมาณ 2.ด้านการสร้างความสามารถการแข่งขัน 338,547 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน เช่น การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การก่อสร้างทางหลวงชนบท การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 3.ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 548,185.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.7 ของวงเงินงบประมาณ พัฒนาศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย ให้มีคุณภาพ เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานอย่างทั่วถึง 4.ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 733,749.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.7 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม และการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา 5.ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 119,600 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.9 เพื่อพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว 6.ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 559,300 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ18ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้ระบบการบริหารราชการ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การส่งเสริมภาครัฐดิจิทัลโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการประชาชนการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยืนยันรัฐบาลได้กลั่นกรองการใช้งบประมาณอย่างรอบคอบ จะเข้มงวด กวดขันป้องกันทุจริตการใช้งบประมาณ พร้อมให้องค์กรอิสระเข้ามาตรวจสอบ รวมถึงประชาชนก็แจ้งข้อมูลมาได้ จะใช้งบประมาณอย่างสร้างสรรค์ ให้เกิดความโปร่งใส ทำเพื่อประชาชน เพื่อนาคตของลูกหลาน โดยใช้เวลาร่ายยาวการชี้แจงงบประมาณกว่า 1.30 ชั่วโมง
ด้าน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สิ่งที่เห็นอันเป็นข้อมูลประจักษ์ชัด กลับตรงกันข้ามเมื่อได้เห็นงบฯ ปี 65 ซึ่งรัฐบาลนำเสนอเข้ามาให้พิจารณาก็ต้องเรียนว่า เหมือนอยู่กันคนละโลก กับประชาชนเจ้าของประเทศ เพราะความเป็นจริงที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือ ยุทธศาสตร์การจัดการในภาวะวิกฤต เป็นหลักประกันสำคัญในการกำหนดงบประมาณ เมื่อยุทธศาสตร์มีลักษณะแยกส่วน หน่วยงานแยกกันแบบต่างหน่วยต่างทำ และแย่งกันทำงานอย่างไม่ประสานกัน การจัดการงบฯยิ่งสะท้อนความล้มเหลว และหละหลวมในการบริหาร
"วันนี้ประชาชนกำลังลำบากอย่างแสนสาหัส แต่รัฐบาลกลับวางแผนจัดงบประมาณปี 2565 ราวกับประเทศอยู่ในสถานการณ์ปกติดี นายกรัฐมนตรีไม่ได้ยินเสียงของประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ที่ดังระงมไปทุกภาคส่วนเลยหรือ หรือนายกฯมีศักยภาพในการคิด และบริหารจัดการได้เต็มที่เท่านี้ ไม่สนใจว่าประเทศจะเสียหายอย่างไร ประชาชนจะเดือดร้อนแค่ไหน ขอเพียงพวกท่านยังรักษาอำนาจ และผลประโยชน์ของพวกพ้องได้ ก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่ ผมคิดว่ารัฐบาลกำลังจัดทำงบประมาณ ฉบับที่ อยู่บนโลกคนละใบกับประชาชนไม่อยู่บนโลกของความเป็นจริง" นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งยืดยาด ล่าช้า ไม่เท่าทันกับปัญหาและสถานการณ์ จนกระทั่งเกิดการระบาดของโควิดระลอกล่าสุด สิ่งที่ประชาชนรับรู้ และทำให้เศร้าใจ คือความไม่พร้อมในทุกด้านของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมรับมือกับปัญหาการระบาดของโรคในระลอกใหม่ ทั้งที่มีตัวอย่างจากประเทศต่างๆ ให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่ประชาชนไม่สามารถจะอดทนได้อีกต่อไป คือเรื่องการวางแผนจัดเตรียมวัคซีน ถือว่ารัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดอย่างมากเท่าที่เคยมีมา ทั้งที่รับรู้กันทั่วทั้งโลกว่า ทางออกสำหรับวิกฤตโควิด-19 คือ วัคซีน แต่ประชาชนไม่สามารถนำตนเองไปรับการฉีดวัคซีนได้ ที่สำคัญประชาชนไม่สามารถเลือกวัคซีนที่ตนเองคิดว่าปลอดภัยที่สุด เพราะรัฐบาลกำหนดไว้ว่าจะต้องใช้แบรนด์นี้ จึงทำให้ประเทศไทยมีวัคซีนจำกัด ในขณะที่สถานการณ์หนักขึ้นๆ วัคซีนไม่พอ มาไม่ทัน รัฐบาลไม่อธิบายความจริง ทำให้ประชาชนสับสน วิตก และกลัวในข้อมูลที่รัฐนำเสนอมาให้ การกระจายวัคซีนที่ไม่หลากหลาย รวดเร็ว ทั่วถึง และไม่ทันการ มันสะท้อนศักยภาพการบริหารของรัฐบาล โดยเฉพาะผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ ไม่มีแผนรับมืออย่างเป็นระบบ
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า การบริการด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ภาวะเศรษฐกิจล้มระเนระนาด ผู้คนตกงานในระบบสูงที่สุดในประเทศ อัตราการว่างงานจะเริ่มมากขึ้นจนน่ากังวล หนี้ครัวเรือนสูงสุดในประวัติศาตร์ชาติ เศรษฐกิจเสียหายถึงจำนวน1ล้านล้านบาท ไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้น ยังไม่รู้ว่าจะจบสิ้นอย่างไร ตัวอย่างที่ล้มเหลวอย่างนี้ ประเทศเรากำลังอยู่ในภาวะที่สาหัส ภัยทางเศรษฐกิจคงจะคืบเข้ามาทำร้าย เป็นพิษต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์บริหารจัดการไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การจัดสรรงบฯเช่นนี้ ด้วยวิธีที่ไม่มียุทธศาตร์ ทำให้จีดีพีตกต่ำลง การจัดเก็บภาษรีในปี 65 จะลดลง และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ตนเกรงว่ารัฐบาลจะไม่มีเงินใช้ แต่รัฐบาลก็จะออกพ.ร.ก.เงินกู้มาจำนวนมากๆ บ่อยๆ แต่ต้องระวังว่าเมื่อกู้มาก ดอกเบี้ยก็ตามมามาก และจะติดกับดักตัวเอง หาทางออกไม่ได้ ดังนั้นแผนการจัดงบฯครั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตจากโควิด-19 ตนจึงไม่อาจรับให้งบฯ ปี 65 จำนวน3.1ล้านล้านบาทที่รัฐบาลเสนอมานี้ผ่านสภาฯไปได้