"ผู้นำฝ่ายค้าน" เปิดเวที ! อัดรัฐบาลจัดงบฯ 65 อยู่บนโลกคนละใบกับปชช. ทำเหมือนสถานการณ์วิกฤตดูปกติ - บริหารจัดการวัคซีนสุดพลาด ซัด "บิ๊กตู่" ไร้วิสัยทัศน์ - แก้ศก.เหลว ดีแต่กู้แหลก
เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้นำรัฐบาล ได้นำเสนอหลักการต่อที่ประชุมสภาฯไปแล้วนั้น ทางด้านนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นกล่าวว่า สิ่งที่เห็นอันเป็นข้อมูลประจักษ์ชัด กลับตรงกันข้ามเมื่อได้เห็นงบฯ ปี 65 ซึ่งรัฐบาลนำเสนอเข้ามาให้พิจารณาก็ต้องเรียนว่า เหมือนอยู่กันคนละโลก กับประชาชนเจ้าของประเทศ เพราะความเป็นจริงที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือ ยุทธศาสตร์การจัดการในภาวะวิกฤต เป็นหลักประกันสำคัญในการกำหนดงบประมาณ เมื่อยุทธศาสตร์มีลักษณะแยกส่วน หน่วยงานแยกกันแบบต่างหน่วยต่างทำ และแย่งกันทำงานอย่างไม่ประสานกัน การจัดการงบฯยิ่งสะท้อนความล้มเหลว และหละหลวมในการบริหาร
“วันนี้ประชาชนกำลังลำบากอย่างแสนสาหัส แต่รัฐบาลกลับวางแผนจัดงบประมาณปี 2565 ราวกับประเทศอยู่ในสถานการณ์ปกติดี นายกรัฐมนตรีไม่ได้ยินเสียงของประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ที่ดังระงมไปทุกภาคส่วนเลยหรือ หรือนายกฯมีศักยภาพในการคิด และบริหารจัดการได้เต็มที่เท่านี้ ไม่สนใจว่าประเทศจะเสียหายอย่างไร ประชาชนจะเดือดร้อนแค่ไหน ขอเพียงพวกท่านยังรักษาอำนาจ และผลประโยชน์ของพวกพ้องได้ ก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่ ผมคิดว่ารัฐบาลกำลังจัดทำงบประมาณ ฉบับที่ อยู่บนโลกคนละใบกับประชาชนไม่อยู่บนโลกของความเป็นจริง” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งยืดยาด ล่าช้า ไม่เท่าทันกับปัญหาและสถานการณ์ จนกระทั่งเกิดการระบาดของโควิดระลอกล่าสุด สิ่งที่ประชาชนรับรู้ และทำให้เศร้าใจ คือความไม่พร้อมในทุกด้านของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมรับมือกับปัญหาการระบาดของโรคในระลอกใหม่ ทั้งที่มีตัวอย่างจากประเทศต่างๆ ให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่ประชาชนไม่สามารถจะอดทนได้อีกต่อไป คือเรื่องการวางแผนจัดเตรียมวัคซีน
ถือว่า รัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดอย่างมากเท่าที่เคยมีมา ทั้งที่รับรู้กันทั่วทั้งโลกว่า ทางออกสำหรับวิกฤตโควิด-19 คือ วัคซีน แต่ประชาชนไม่สามารถนำตนเองไปรับการฉีดวัคซีนได้ ที่สำคัญประชาชนไม่สามารถเลือกวัคซีนที่ตนเองคิดว่าปลอดภัยที่สุด เพราะรัฐบาลกำหนดไว้ว่าจะต้องใช้แบรนด์นี้ จึงทำให้ประเทศไทยมีวัคซีนจำกัด ในขณะที่สถานการณ์หนักขึ้นๆ วัคซีนไม่พอ มาไม่ทัน รัฐบาลไม่อธิบายความจริง ทำให้ประชาชนสับสน วิตก และกลัวในข้อมูลที่รัฐนำเสนอมาให้ การกระจายวัคซีนที่ไม่หลากหลาย รวดเร็ว ทั่วถึง และไม่ทันการ มันสะท้อนศักยภาพการบริหารของรัฐบาล โดยเฉพาะผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ ไม่มีแผนรับมืออย่างเป็นระบบ
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า การบริการด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ภาวะเศรษฐกิจล้มระเนระนาด ผู้คนตกงานในระบบสูงที่สุดในประเทศ อัตราการว่างงานจะเริ่มมากขึ้นจนน่ากังวล หนี้ครัวเรือนสูงสุดในประวัติศาตร์ชาติ เศรษฐกิจเสียหายถึงจำนวน1ล้านล้านบาท ไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้น ยังไม่รู้ว่าจะจบสิ้นอย่างไร ตัวอย่างที่ล้มเหลวอย่างนี้ ประเทศเรากำลังอยู่ในภาวะที่สาหัส ภัยทางเศรษฐกิจคงจะคืบเข้ามาทำร้าย เป็นพิษต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ บริหารจัดการไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การจัดสรรงบฯเช่นนี้ ด้วยวิธีที่ไม่มียุทธศาตร์ ทำให้จีดีพีตกต่ำลง การจัดเก็บภาษรีในปี 65 จะลดลง และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ตนเกรงว่ารัฐบาลจะไม่มีเงินใช้ แต่รัฐบาลก็จะออกพ.ร.ก.เงินกู้มาจำนวนมากๆ บ่อยๆ แต่ต้องระวังว่าเมื่อกู้มาก ดอกเบี้ยก็ตามมามาก และจะติดกับดักตัวเอง หาทางออกไม่ได้ ดังนั้นแผนการจัดงบฯครั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตจากโควิด-19 ตนจึงไม่อาจรับให้งบฯ ปี 65 จำนวน3.1ล้านล้านบาทที่รัฐบาลเสนอมานี้ผ่านสภาฯไปได้