ดนตรี / ทิวา สาระจูฑะ เวลาพูดถึงศิลปินหญิงแถวหน้าของโลกหลังปี 2000 ชื่อของคนอย่าง เลดี กากา, อเดล, เคที เพอร์รี,เทย์เลอร์ สวิฟท์, ไมลีย์ ไซรัส, อาริอานา แกรนเด, บียอนเซ ฯลฯ ก็มักจะผุดขึ้นมาก่อน ด้วยความนิยมและข่าวคราวที่มีอยู่ต่อเนื่อง แต่ในช่วง 2 ปีเศษที่ผ่านมา บิลลี ไอลิช และ ดูอา ลิปา โดดเด่นขึ้นมาอย่างมาก คนแรกนั้นเป็นอเมริกัน เพิ่งอายุ 20 ปี ส่วนคนหลังเป็นอังกฤษ อายุเบญจเพสพอดี และดูเหมือนตอนนี้ ดูอา จะนำหน้าเหลื่อมๆ บิลลี ไอลิช อยู่นิดๆ ดูอา ลิปา เกิดในลอนดอน เป็นลูกสาวคนโตของจากพ่อแม่เชื้อสายอัลบาเนียนที่โยกย้ายมาจากโคโซโว พ่อของเธอเป็นอดีตนักร้องนำและมือกีตาร์ของ โอดา วงร็อคในโคโซโวมาก่อน เธอจึงซึมซับเสียงดนตรีมาตั้งแต่วัยเยาว์ ดูอา เริ่มร้องเพลงเมื่ออายุเพียง 5 ขวบ เธอเริ่มเรียนดนตรีและร้องเพลงตั้งแต่ชั้นประถม ครอบครัวย้ายกลับไปโคโซโวหลังได้รับประกาศเอกราชเมื่ออายุ 13 ในปี 2008 แต่เพียง 2 ปีเธอก็กลับสู่ลอนดอน และมุ่งมั่นเข้าสู่อาชีพดนตรีด้วยการฝึกฝนแต่งเพลง ทว่ากลับเริ่มเป็นที่รู้จักก่อนในอาชีพนางแบบ ซึ่งก็มีส่วนช่วยให้เธอได้เซ็นสัญญากับบริษัทเพลง ในปี 2013 ดูอา เซ็นสัญญากับ แท็ป แมเนจเม้นท์ และจากเพลง "Hotter than Hell" ที่เธอร่วมแต่ง ก็นำให้เธอได้เซ็นกับยักษ์ใหญ่ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส เรคอร์ดส์ ในปีถัดมา เป็นจังหวะที่ วอร์เนอร์ เองก็ต้องการศิลปินหญิงป๊อปที่พร้อมจะผลักดันให้เป็นเบอร์ใหญ่ในอนาคต ซึ่งตอนนั้นพวกเขาไม่มี ระหว่างปี 2015-2016 ดูอา ปล่อยซิงเกิ้ลออกมา 6 เพลง และไปร่วมงานกับ ฌอน พอล อีก 1 เพลง ทั้งหมดสั่งสมความสำเร็จให้เธอทั้งยอดขาย, รางวัล และชื่อเสียงที่ขจรขจายไปในสากล และกลางปี 2017 อัลบั้ม Dua ผลงานอัลบั้มเต็มชุดแรกก็ออกมา ซิงเกิ้ล "New Rules" จากอัลบั้มกลายเป็นเพลงแรกของศิลปินหญิงเดี่ยวที่ติดอันดับ 1 ในอังกฤษนับตั้งแต่ “Hello” ของ อเดล ในปี 2015 นอกจากนี้ยังติดอันดับ 1 อีกนับสิบประเทศ และติดอันดับ 6 ในอเมริกาด้วย ตอนนี้อะไรก็หยุด ดูอา ไม่ได้อีกแล้ว เธอประสบความสำเร็จในการตระเวนทัวร์ทุกแห่ง, ได้รับเลือกเล่นในเทศกาลดนตรีใหญ่ๆมากมาย, เพลงของเธอได้รับการคัดสรรประกอบหนังหลายเรื่อง, ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนับไม่ถ้วน และผลงานขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นอกจากนี้ยังได้รับเชิญจากศิลปินดังๆให้ไปร่วมงานด้วย รวมถึงเพลง "One Kiss" ที่เธอร้องร่วมกับ คาลวิน แฮร์ริส ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ และขายดีที่สุดในปี 2018 ในธุรกิจดนตรี สิ่งที่ถูกพูดถึงกันอยู่เสมอคือ “อาถรรพ์หมายเลข 2” นั่นคือศิลปินที่ประสบความสำเร็จจากชุดแรกมักไม่ค่อยประสบความสำเร็จในชุดที่ 2 แต่ไม่มีอาถรรพ์สำหรับ ดูอา ลิปา อัลบั้มที่ 2 ของเธอ - Future Nostalgia และซิงเกิ้ลที่ตัดจากอัลบั้ม "Don't Start Now", "Physical" และ "Levitating" ไปไกลและใหญ่กว่าอัลบั้มชุดแรก ทั้งยอดขายและรางวัล นอกจากนี้เธอยังเซ็นสัญญากับสินค้าแบรนด์ดัง อย่าง อีฟ แซงต์ ลอแรง และ เอเวียง ขึ้นปกนิตยสารชั้นนำของโลกนับไม่ถ้วน ตอนนี้ไม่เพียงนักฟังเพลงจะรู้จักเธอทั่วโลก ศิลปินและโปรดิวเซอร์อีกมากมายหลายแขนงก็อยากจะร่วมงานกับเธอ นั่นไม่ใช่เพราะเธอมีหน้าตาที่สะสวยระดับนางแบบ และความโด่งดังที่กำลังพุ่งขึ้นสูง แต่เพราะความสามารถในการแต่งเพลงและร้องเพลงของเธอด้วย แนวดนตรีของ ดูอา เป็นป๊อปที่ผสมผสานด้วยอาร์แอนด์บี และด้วยเสียงร้องที่มีระยะเสียงระดับเมซโว-โซปราโน เธอเรียกสไตล์ดนตรีของตัวเองว่า “ดาร์ก ป๊อป” ขณะที่ประกาศชัดเจนว่า เธอเป็นพวกนิยมสิทธิสตรี ดูอา เป็นคนที่กล้าแสดงความคิดอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ, อุตสาหกรรมดนตรี, ใช้โซเชี่ยล มีเดียยกระดับความรู้ของปัญหาผู้หญิง, สิทธิเท่าเทียมของเพศทางเลือก และการเมือง ในปี 2019 เธอโพสต์ว่า ชัยชนะในการเลือกตั้งของ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ คือ “หายนะอย่างสิ้นเชิง” และกลางปี 2020 เธอโพสต์ประนามการส่งกำลังทหารอิสราเอลเข้าไปปฏิบัติการต่อปาเลสไตน์ โดยเรียกคณะรัฐบาลอิสราเอลว่า “ยิวจอมปลอม” ทำให้เกิดกระแสชาวยิวนับพันเรียกร้องให้สถานีวิทยุในอิสราเอลแบนเพลงของเธอ ปกติ ศิลปินส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากเสี่ยงกับเรื่องการเมือง โดยเฉพาะการข้องแวะกับยิว แต่ ดูอา ลิปา ไม่สนใจ ตราบที่ความคิดของเธอเป็นเช่นนั้น น่าติดตามต่อไปว่า นักร้อง-นักแต่งเพลงสาวเชื้อสายอัลบาเนียนคนนี้ จะยืนหยัดไปได้ยาวนานเพียงใดในยุคที่ทุกอย่างผันผวนรวดเร็ว