สำนักข่าวต่างประเทศ รายงาน ว่า นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกของ WHO ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชากรจำนวนอย่างน้อย 10% ในทุกประเทศภายในเดือนกันยายน 2564 และอย่างน้อย 30% ภายในสิ้นปีนี้ ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA) ครั้งที่ 74 ผ่านระบบออนไลน์เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564
ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวจะทำให้มีจำนวนของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนจำนวน 250 ล้านโดสในประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางภายในเวลาเพียง 4 เดือน พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้บรรดาผู้ผลิตและพัฒนาวัคซีนให้สิทธิโครงการโคแว็กซ์ก่อนเป็นลำดับแรก หลังผลิตวัคซีนออกมาเสร็จในแต่ละล็อต หรือปันส่วนวัคซีนครึ่งหนึ่งของที่ผลิตออกมาได้ให้กับโคแว็กซ์ในปีนี้ เพื่อกระจายวัคซีนสู่ประเทศที่ยากจน
สำหรับข้อเรียกร้องดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังการปัญหาการกระจุกตัวของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อยู่แต่ในประเทศที่ร่ำรวย ขณะที่หลายพื้นที่ของโลกเริ่มเผชิญกับปัญหาการระบาดระลอกใหม่ โดยเฉพาะชาติในภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรณียอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4 เท่าตั้งแต่ 1 เมษายน 2564 หลังการตรวจพบผู้ติดเชื้อในเรือนจำ และชุมชนแออัดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงจากค่ายคนงานก่อสร้างด้วย
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์เตียว อึกอิง คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ ซอว์ สวี ฮก มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ กล่าวว่า ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีนจะกลายเป็นสาเหตุให้กับศูนย์กลางการระบาดในโลกเปลี่ยนแปลงไป พร้อมยกการเกิดคลัสเตอร์ใหม่ในสิงคโปร์ที่ไม่น่าจะมาจากการหละหลวมของมาตรการและการไม่ให้ความร่วมมือของประชาชน แต่น่าจะมาจากไวรัสก่อโรคโควิดชนิดกลายพันธุ์ที่พบในอินเดีย (ฺฺB.1.617.2) ซึ่งมีความสามารถในการระบาดเทียบเท่ากับชนิดกลายพันธุ์ที่พบในอังกฤษ (B.1.1.7) ซึ่งเวลานี้กำลังลุกลามไปถึง 4 กลุ่ม ภายในรอบ 10 วัน