วันที่ 23 พ.ค.64 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
"สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกล่าสุดยังคงไม่ดีขึ้น ยิ่งในกทม. เกือบจะเรียกได้ว่า การแพร่ระบาดกระจายไปทุกชุมชน รวมทั้งนักโทษในเรือนจำ จะเรียกว่า ตรวจที่ไหน เจอที่นั่น ก็คงไม่ผิดความจริงเกินไป
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ สังคมไทยยังคงแตกแยก เป็น 2 ฝ่ายเช่นเดิม ดังที่ทราบกันว่า ฝ่ายหนึ่งเรียกตัวเองว่า ฝ่าย “ประชาธิปไตย” หรือบางทีเรียกตัวเองว่าฝ่าย “ก้าวหน้า( progressives )”
ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่าย “ประชาธิปไตย” ไม่เคยตั้งชื่อตัวเอง แต่ถูกฝ่ายแรกเรียกว่า “สลิ่ม” หรือบางทีเรียกว่า ฝ่าย “อนุรักษ์นิยม( conservatives)”
ที่เรียกว่า “สลิ่ม” หรือ “ซาหริ่ม” มีที่มาคือ เมื่อสมัยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร คนพากันใส่เสื้อเหลืองออกมาชุมนุมกันเป็นเรือนแสน จึงถูกเรียกว่าพวก “เสื้อเหลือง”ในที่สุดนำไปสู่การทำรัฐประหาร ปี 2549 นำโดยพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
เมื่อนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นรัฐบาลภายหลังนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยนาย ทักษิณ ต้องถูกถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เกิดกลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก ต่อมาเปลี่ยนเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช ใส่เสื้อแดง ออกมาชุมนุมหลายหมื่นคน ยื่นคำขาดให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ด้วยข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์มีที่มาที่ไม่ชอบธรรม
ในกลุ่ม นปช มีทั้งแกนนำและไม่ใช่แกนนำหลายคน ขึ้นปราศรัยจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้รุนแรงไม่เท่าในยุคนี้ แต่ก็ต้องถือว่ารุนแรงมาก จึงเป็นที่ชัดเจนว่า ในกลุ่มนปช มีกลุ่มคนที่ไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือที่บางคนเรียกว่ากลุ่ม “ล้มเจ้า” อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
ในช่วงนั้น( ปี 2553) น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ได้เป็นแกนนำการชุมนุม ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการชุมนุมของคนเสื้อแดง แต่ไม่ต้องการแบ่งเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง จึงให้คนที่ออกมาชุมนุมใส่เสื้อได้ทุกสี เรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่ม “ เสื้อหลากสี” ต่อมา กลุ่มเสื้อแดง และฝ่ายนิยมระบอบทักษิณ จึงขนานนามฝ่ายที่ไม่เอา ระบอบทักษิณว่าพวก “สลิ่ม” เนื่องจากใส่เสื้อหลายสี
ในยุคที่ กกปส ชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ที่ร่วมชุมนุมกันเป็นเรือนล้าน ก็ถูกนปช เรียกว่าเป็นพวก
”สลิ่ม”เช่นกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแบ่งฝ่ายเช่นนี้ แกนนำพรรคอนาคตใหม่ ปัจจุบันคือคณะก้าวหน้า เป็นกลุ่มคนที่ทำให้เกิดการแบ่งฝ่าย แบ่งขั้วแบบนี้ในปัจจุบัน
แน่นอนว่าฝ่าย “ ประชาธิปไตย” ย่อมต้องต่อต้านรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งแม้เรียกได้ว่า รัฐบาลชุดนี้ มาจากกระบวนการประชาธิปไตย แต่ยังคงถูกคนกลุ่มนี้เรียกว่า รัฐบาลเผด็จการ
ความไม่ดีทั้งหลายของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นมานานเท่าใด ฝ่าย “ประชาธิปไตย” ล้วนโยนความผิดไปให้รัฐบาลชุดนี้ กระทั่งการประกวดนางงามจักรวาล เมื่อนางสาวไทยจักรวาลไม่ติด 1 ใน 5 ก็ถูกหาว่าเป็นเพราะประเทศไทยเป็นรัฐเผด็จการ
เมื่อมีข่าวร้ายเกิดขึ้น ทั้งข่าวจริงข่าวปลอม แกนนำคนกลุ่มนี้จะพยายามใช้สื่อที่เป็นเครือข่ายของตนโหมประโคม ขยายผล เพื่อให้คนเชื่อว่า เกิดจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาล จนบางครั้งถูกอีกฝ่ายเรียกว่าเป็นพวก “ชังชาติ”
ปัจจุบันคำว่า “สลิ่ม” กลายเป็นคำที่ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่าย “ประชาธิปไตย” ใช้เรียกผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือพวกที่ยึดมั่นใน “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
นอกจากนั้น ความหมายของคำว่า สลิ่ม ยังพัฒนาไปจนรวมถึงใครก็ตามที่มีความเห็นหรือมีการกระทำใดๆที่ต่างไปจากพวกที่เรียกตนเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” จะถูกเรียกว่า”สลิ่ม” ไปทั้งหมด รวมทั้งใครที่วิพากษ์วิจารณ์พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า ก็ย่อมต้องถูกเรียกว่าเป็นพวก “สลิ่ม” ด้วย
ผู้ประกอบธุรกิจรายใด แสดงความเห็นต่างจากพวกที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย ธุรกิจของเขาก็จะถูกเรียกว่าเป็นธุรกิจ “สลิ่ม” และเรียกร้องให้แบนธุรกิจเหล่านี้
ดาราคนใด แค่โพสต์ข้อความถวายพระพร ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ก็ยังถูกโจมตีว่าเป็นดารา “สลิ่ม” และเรียกร้องให้แบนดาราคนนั้น
ตั้งแต่แกนนำคณะก้าวหน้าโจมตีรัฐบาล เรื่องการจัดการวัคซีน โดยเรียกว่า “วัคซีนพระราชทาน” ข่าวร้าย ไม่ว่าจริงหรือปลอมเกี่ยวกับวัคซีนทุกยี่ห้อที่รัฐบาลจัดหา ถูกประโคมขยายผล ทำให้คนเชื่อว่า เป็นวัคซีนคุณภาพต่ำ และเชื่อว่าวัคซีนที่ดีคือวัคซีน 3 ยี่ห้อที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
การทำเช่นนี้ ทำให้พวกที่อยู่ฝ่าย “ ประชาธิปไตย” จำนวนมากไม่ยอมไปฉีดวัคซีน บางคนไม่ยอมลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนให้พ่อแม่ตัวเอง และพ่อแม่ ก็ไม่สามารถบังคับลูกตัวเองให้ไปฉีดวัคซีนได้
ด้วยเหตุนี้ ใครก็ตามที่ไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ที่รัฐบาลจัดให้แล้ว จึงถูกเรียกว่าเป็น“สลิ่ม” ไปด้วย ดาราที่ออกไปฉีดวัคซีน แล้วเชิญชวนให้คนไปฉีดวัคซีน จึงถูกเรียกว่า ดารา “สลิ่ม” และมีการเรียกร้องให้ ban ดาราเหล่านี้
ยังดีที่ขณะนี้ จำนวนคนที่ไปฉีดวัคซีน และจองฉีดวัคซีนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นมาก น่าจะมีผลมาจากการได้เห็นดารา และคนที่มีชื่อเสียงไปฉีดวัคซีนแล้วไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
บรรดา ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่รีบไปฉีดวัคซีนกันเป็นแรกๆ ในเช้าวันแรกที่เขาฉีดให้กับ ส.ส. เป็นวัคซีนยี่ห้อที่ตัวเองโจมตีว่าคุณภาพต่ำ ฉีดแล้วคงไม่มีคนไหนเกิดผลข้างเคียงใดๆ มิฉะนั้นคงออกมาโวยกันยกใหญ่แล้ว
เป็นเพราะเหตุนี้กระมัง บรรดาส.ส.เหล่านี้จึงพากันเงียบกริบกันหมด ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียวว่า ฉีดวัคซีนแล้วไม่มีผลข้างเคียง คงเป็นเพราะกลัวจะถูกหาว่าเป็น “สลิ่ม” นั่นเอง