1. สาเหตุสงคราม ความขัดแย้งของอิสราเอล-ปาเลสไตน์นั้น มีมาอย่างยาวนานเกือบ 100 ปี โดยความขัดแย้งครั้งล่าสุด เริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2564 เกิดเหตุปะทะในบริเวณมัสยิดอัลอักซอ (Al-Aqsa Mosque) ระหว่างตำรวจอิสราเอล และประชาชนชาวปาเลสไตน์ เป็นเหตุให้ในวันที่ 10 พ.ค. 2564 กลุ่มฮามาส (Hamas) ได้ตัดสินใจตอบโต้จากที่ตั้งในฉนวนกาซ่า (Gaza) ด้วยการยิงจรวดจำนวนมาก กระจายไปยังเป้าหมายต่าง ๆ ทั่วอิสราเอล และมีการโต้กลับจากอิสราเอล ส่งผลให้เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2564 มีรายงานคนงานไทยในอิสราเอลเสียชีวิต 2 ศพ จากการถูกกลุ่มติดอาวุธฮามาสในปาเลสไตน์ยิงจรวดจากกาซา ข้ามชายแดนมาโจมตีบริเวณภาคใต้ของอิสราเอล 2. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 2.1 สัดส่วนส่งออก-นำเข้าไทยไปอิสราเอล อิสราเอลเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการขยายตัวทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยอิสราเอลเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เมื่อปี 2553 และเป็นประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีการลงทุนด้านวิจัย และพัฒนามากที่สุดในโลก และการมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมในระดับสูงจนติดอันดับโลกในเรื่องความคล่องตัวในการทำธุรกิจ ในปี 2563 ที่ผ่านมา การค้ารวมระหว่างไทย-อิสราเอล มีมูลค่า 1,022.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -19.7 จากปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าส่งออก 593.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก ข้าว ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบและแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น และมีมูลค่าการนำเข้า 428.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ -22.5 จากปีก่อนหน้า สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น ยุทธปัจจัย เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น โดยที่อิสราเอลเป็นปะเทศคู่ค้าลำดับที่ 41 ในด้านมูลค่าการส่งออก และเป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 39 ในด้านมูลค่าการนำเข้าของไทยในตลาดโลก (โดยเมื่อพิจารณาประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง 15 ประเทศ อิสราเอลเป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 4 ในด้านมูลค่าการส่งออก และเป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 6 ในด้านมูลค่าการนำเข้าของไทย) อย่างไรก็ดี สัดส่วนการนำเข้าและการส่งออกระหว่างไทย – อิสราเอล เมื่อเทียบกับปริมาณการค้าต่างประเทศของไทย ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยการเข้าและการส่งออกระหว่างไทย – อิสราเอล ในปี 2563 มี Market Share เพียงร้อยละ 0.21 และ 0.26 ตามลำดับ 2.2 การลงทุนไทยอิสราเอล ในปัจจุบัน นักลงทุนไทยยังเข้ามาลงทุนในอิสราเอลจำนวนน้อยมาก ทั้งที่อิสราเอลเป็นประเทศที่เปิดกว้าง รับนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ 100% (ยกเว้นด้านการทหารและความมั่นคง) โดยสาขาที่รัฐบาลอิสราเอลสนับสนุนเป็นพิเศษ ได้แก่ เคมีอินทรีย์ เครื่องมือแพทย์ พลังงานชีวภาพ โทรคมนาคม และ ICT ทั้งนี้ ปัญหาที่นักลงทุนไทยและต่างชาติกังวล คือ เรื่องของความปลอดภัยจากภาวะสงคราม และต้นทุนการลงทุนที่สูง ทั้งในส่วนของค่าแรงขั้นต่ำ (ที่อิสราเอล 53,000 บาท/เดือน) ค่าเช่าพื้นที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภคแพง เป็นต้น สำหรับการลงทุนจากอิสราเอลในไทยนั้น เมื่อพิจารณาจากข้อมูลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ในช่วงปี 2556-2563 มีโครงการลงทุนของอิสราเอลซึ่งได้รับการส่งเสริมจาก BOI จำนวน 15 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 366 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และซอฟแวร์ และกิจการเจียระไนเพชร 2.3 แรงงานไทยอิสราเอล ประเทศอิสราเอลถือเป็นตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ ที่ใหญ่เป็นอันดับ Top Ten (ทั้งนี้ จากข้อมูล ณ เม.ย. 2564 มีจำนวนแรงงานไทย 18,728 ราย (คิดเป็นร้อยละ 17.1 ของแรงไทยในต่างประเทศทั้งหมด) โดยแรงงานไทยส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรมของอิสราเอล) ทั้งนี้ จากเหตุการณ์โจมตีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2564 ส่งผลให้แรงงานไทยในอิสราเอลซึ่งพักอาศัยที่นิคมอุตสาหกรรมเกษตร Ohad ใกล้พื้นที่ฉนวนกาซา เสียชีวิตจำนวน 2 ราย โดยทางสถานทูตไทยได้มีการลำเลียงแรงงานไทยซึ่งมีอยู่ราว 4,000 คน ที่ทำงานในนิคมฯ ที่ติดเขตฉนวนกาซา ออกจากพื้นที่แล้วจำนวนหนึ่ง 2.4 ท่องเที่ยวไทยอิสราเอล (ก่อนเหตุการณ์โควิด-19) ในช่วงก่อนปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เดินทางมาเที่ยวยังประเทศไทยมีจำนวนมากเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศในทวีปตะวันออกกลาง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวน 195,856 คน (คิดเป็นร้อยละ 0.49 ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรวมที่เข้ามาประเทศไทยในปี 2562 ที่ 39.92 ล้านคน) โดยไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวในปีดังกล่าว 518.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นร้อยละ 0.84 ของรายได้รวมของการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปี 2562 ที่ 61,572.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวอิสราเอลเฉลี่ยเท่ากับ 82,156 บาท / คน ซึ่งสูงกว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยรวมเฉลี่ยเท่ากับ 47,896 บาท / คน สะท้อนว่านักท่องเที่ยวอิสราเอลเป็นนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง (High-Value Tourists) วิเคราะห์และจัดทำโดย นายธรรมฤทธิ์ คุณหิรัญ และนายญาณพัฒน์ สุขสำราญ ส่วนการวิเคราะห์เสถียรภาพเศรษฐกิจ สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง บทความนี้สะท้อนความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน และไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับหน่วยงานต้นสังกัดของผู้เขียน