คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวให้ท่านผู้อ่านรับทราบว่า บทความฉบับนี้ผมใคร่ขอเสนอเรื่องราวเบาๆไม่ค่อยหนักสมอง เนื่องจากสถานการณ์เกี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดในบ้านเมืองของเราสร้างความตึงเครียดมากพออยู่แล้ว เท่าที่ผ่านๆมายังไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใดเลย ที่ต้องเผชิญกับปัญหามากมายหลายอย่าง ที่เหตุการณ์เหล่านั้นประเดประดังเข้ามาแบบคาดการณ์ไม่ถึง ได้เทียบเท่ากับ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่เขาพยายามจะใช้เวลาทุกๆนาทีให้มีค่า เพื่อต้องการสร้างผลงานรับใช้ประชาชนคนอเมริกัน เนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นคนที่เคร่งศาสนา ดังนั้นพอจะประมาณได้ว่า เขาต้องการจะสร้างแต่ความดี ต้องการจะสร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนอเมริกันและต่อมนุษย์ชาติ จากผลงานของทีมนักเขียนมืออาชีพแห่งหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ประจำอยู่ ณ ทำเนียบขาว 3 ท่าน ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันเขียนบทความในหัวข้อเรื่อง “Beneath Joe Biden’s Folks Demeanor, a Short Fuse and an Obsession With Details” ซึ่งพวกเขาวิเคราะห์การทำงานบริหารประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อนึ่งผมขอเอ่ยถึงหัวหน้าทีมนักเขียนมืออาชีพนั่นก็คือ “ไมเคิล ดี. เชียร์” (Michael D. Shear) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของทีมนี้พอสังเขป โดยนักข่าวผู้นี้ในอดีตเคยทำงานอยู่ที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์มาอย่างยาวนานถึง 18 ปี และได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ขณะที่เป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อปี 2007 ก่อนที่จะหันเหผันตัวไปเป็นนักข่าวให้กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ประจำอยู่ที่ทำเนียบขาวจนถึงขณะนี้เป็นเวลานานกว่า 11 ปีแล้ว ส่วนประวัติด้านการศึกษานั้น ก็นับว่ามีความโดดเด่นมากทีเดียวโดยเขาศึกษาจบในระดับปริญญาตรีที่ “Claremont McKenna College” ใกล้ๆกับนครลอสแอนเจลิส ซึ่งใครก็ตามที่สามารถเข้าไปศึกษาในสถาบันแห่งนี้ได้ นับว่าเป็นนักศึกษาที่มีมันสมองระดับหัวกะทิเลยทีเดียว และเขายังจบการศึกษาในระดับปริญญาโทที่ฮาร์วาร์ด อีกด้วย!!! ดังนั้นประสบการณ์ในสนามข่าวที่ผ่านมาอย่างโชกโชนกว่าสามสิบปีนั้น นับว่าเขาเข้าใจถึงกลไกการเมืองของประธานาธิบดีแทบทุกคนในเชิงลึกได้ดีทีเดียว แถมเขายังมีผู้ช่วยในทีมอีกสองคนที่ประจำ ณ ทำเนียบขาวเข้ามาช่วยเสริมเพิ่มศักยภาพให้แก่เขาด้วยเช่นกัน ทีมงานหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ทีมนี้ ได้เฝ้าติดตามการทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ในตำแหน่งรองประธานาธิบดียุคสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา โดยนักข่าวทีมนี้เล่าว่า “สไตล์การตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เต็มไปด้วยความสุขุมรอบคอบ โดยก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีไบเดน ตัดสินใจในสิ่งใดก็ตามจะต้องมีข้อมูลที่เพียบพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นปัญหาด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติแล้วละก็ เขาจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานมากเป็นพิเศษ และจะตัดสินใจก็ต่อเมื่อเขามีความมั่นใจ โดยจะปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญและทบทวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน” อาทิ กรณีของเรื่องราวก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตัดสินใจจะใช้นโยบายแซงก์ชัน เพื่อต้องการทำโทษด้านการทูตและด้านเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ที่เข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯทั้งในปี 2016 และปี 2020 โดยเขาใช้เวลาตรึกตรองนานกว่าสองเดือน จึงได้ตัดสินใจยกหูโทรศัพท์พูดคุยกับ “ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน” นานถึง 5 นาที 48 วินาทีอย่างตรงไปตรงมาตักเตือนปูตินว่า “อย่าเข้าไปแทรกแซงการเมืองของสหรัฐอีกต่อไป มิเช่นนั้นแล้วละก็ สหรัฐอเมริกาจะใช้มาตรการรุนแรงต่อรัสเซียเพิ่มระดับมากยิ่งขึ้นไปอีก” สำหรับเรื่องของการแก้ไขปัญหานโยบายภายในประเทศ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็มีดำริต้องการที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางไปร่วมปรึกษาหารือ โดยให้ทุกคนสามารถออกความคิดเห็น แถมยังกระตุ้นให้ทุกคนใช้ตรรกะแบบโสเครดิส เน้นการใช้เหตุผลในการสืบค้น สนทนาและมีการใช้คำถามแบบต่อเนื่องร่วมกัน ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อเข้าถึงความจริงก่อนที่จะมีบทสรุป อย่างไรก็ตามเนื่องจากพรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเพียงสิบเสียง และมีเสียงเท่ากันในวุฒิสภา อีกทั้งยังมีเวลาเหลือเพียง 17 เดือนก่อนมีการเลือกตั้งกลางสมัย ฉะนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตระหนักดีว่า เขาจะต้องรีบสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงต่างๆให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของคนเอมริกันและทั่วทุกมุมโลก ก่อนการเลือกตั้งกลางสมัยจะเกิดขึ้น!!! โดยขณะนี้ วุฒิสมาชิกมิชท์ แม็คคอนเนลล์ ผู้นำของพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาได้ออกมากล่าวแถลงย้ำๆซ้ำๆบ่อยๆว่า “ข้าพเจ้าจะต่อต้านทุกๆนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แบบสุดลิ่มทิ่มประตูร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม” ทำให้บางครั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน อดรนทนไม่ไหวเกิดอาการหงุดหงิดฟิวส์ขาด เนื่องจากเขาไม่ได้รับข้อมูลอย่างครบครัน มีผลให้รัฐมนตรีบางท่านที่ไม่ได้ทำการบ้านไม่มีข้อมูลนำเสนอต้องหน้าแตกโดนตำหนิต่อหน้าสาธารณชน และมีบางครั้งที่ประธานาธิบดีไบเดนโมโหวางหูโทรศัพท์ไปเฉยๆเพราะไม่ต้องการเสียเวลากับผู้ที่ขาดความรับผิดชอบ ทั้งนี้ตอนเช้าตรู่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มักจะชอบเดินออกกำลังกายที่สนามหญ้าหน้าทำเนียบขาวเป็นประจำ โดยมี “แชมป์” และ “เมเจอร์” สุนัขคู่ใจพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ต เดินขนาบข้างเป็นบอร์ดีการ์ดไปในตัว โดยเขาจะเข้าทำงานเวลา 9.30 น.เป็นประจำ หากไม่ต้องไปปฏิบัติภารกิจพิเศษที่ไหน!!! สำหรับเรื่องของครอบครัวแล้วนั้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด โดยเขาจะไม่พลาดการติดต่อพูดคุยกับลูกๆหลานๆของเขาเลยแม้แต่วันเดียว เป็นที่น่าสังเกตว่าเพื่อความโปร่งใสประธานาธิบดีโจ ไบเดนมิได้นำลูกหรือหลานๆเข้าไปร่วมทำงานในทำเนียบขาวแม้แต่คนเดียวเหมือนกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้นำลูกสาวคนโตและลูกเขยเป็นที่ปรึกษาเป็นทางการในทำเนียบขาว ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารการกินปากท้องของประธานาธิบดีโจ ไบเดนนั้น เขาเป็นคนติดดินกินง่ายๆ โดยเขามักจะใช้เวลาทานอาหารเที่ยงเพียงแค่สามสิบนาทีแล้วรีบกลับไปทำงานต่อ และรวบยอดไปทานอาหารเย็นเมื่อตอนหนึ่งทุ่ม อนึ่งหลังจากอาหารเย็นเสร็จสิ้นลงแล้ว ประธานาธิบดีโจ ไบเดนมักจะยกหูโทรศัพท์ปรึกษาหารือกับกลุ่มทีมงานระดับมันสมองผู้ที่เคยทำงานกับเขาอย่างใกล้ชิดติดต่อกันมาเป็นเวลานานตั้งแต่สมัยที่เขายังอยู่ในตำแหน่งรองประธานาธิบดี อีกทั้งเขามักจะติดต่อกับนักประวัติศาสตร์ชื่อดัง 4 คน ที่เขาเคยปรึกษาหารือกับทั้งสี่ท่านนี้มาโดยตลอดอีกด้วย ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าแม้จะเป็นแค่เพียงในวันที่สองที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ย่างก้าวเข้าสู่ทำเนีบบขาวก็ตาม แต่เขาได้สั่งการให้เปิดการประชุมกับชุดที่ปรึกษาทางด้านแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 และได้กล่าวย้ำว่า “ ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นปัญหาสำคัญของประเทศชาติ” ตอนหนึ่งประธานธิบดีโจ ไบเดน ได้แย้มว่า “ข้าพเจ้ายังต้องการจะลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีต่อในสมัยที่สอง โดยข้าพเจ้าต้องการและยินดีจะรับฟังทั้งข่าวดีข่าวร้ายอย่างละเอียดทุกๆเรื่อง” นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังมองการณ์ไกลเล็งเห็นว่า ปัญหาทุกๆด้านที่กำลังดาหน้ามาให้เขาแก้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเร่งด่วน อีกทั้งเขายังไม่มองข้ามปัญหาเล็กๆน้อยๆด้วยเช่นกัน กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อวิเคราะห์จากการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแล้วจะเห็นได้ว่า เขามุ่งเน้นไปที่การสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ในสองปีแรก ทั้งนี้เขายังมีเวลาค่อนข้างจำกัดเหลืออีกแค่เพียง 17 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะเป็นวันเลือกตั้งกลางสมัย และหากพรรครีพับลิกันเกิดมีชัยได้รับเสียงข้างมาก จะเป็นการยากอย่างยิ่งที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะได้รับเสียงสนับสนุนให้ได้ผ่านร่างกฎหมายสำคัญๆตามที่เขาต้องการละครับ