ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ ...บางขณะชีวิตของคนเราก็ปรารถนาถึงความอ่อนโยนอันล้ำลึก ที่เกิดขึ้นอย่างสงบงามภายในโลกแห่งดวงใจที่อาจตกอยู่กับความมืดมนของตน...มันคือแสงสว่างแห่งศรัทธาที่ฉายแสงอยู่ภายในก้นบึ้งของอารมณ์ความรู้สึกที่คอยโอบประคองเราไว้ด้วยความทะนุถนอม....แท้จริงอะไรคือความหมายพิเศษของอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นนี้...นอกเสียจากความทรงจำ...ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของความหลงลืม...แน่นอนว่าในความเป็นจริงของชีวิตจริง ณ วันนี้ เรามักจะหลงลืมและไม่ใส่ใจที่จะจดจำอะไรเอาไว้กับใจกันมากนัก...เราอาจเพียงแค่ไขว่คว้าหาบางสิ่งเพื่อเป็นประโยชน์สุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ก่อนที่จะโยนมันทิ้งขว้างไปอย่างไร้ค่า...เมื่อคิดว่ามันได้สิ้นราคาไปจากใจของเราแล้ว...นั่นจึงนำมาซึ่งความโศกเศร้าจากภาวะแห่งการไร้หัวใจที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยความเยียบเย็น ของการไร้ไมตรี ที่นำมาซึ่งความโดดเดี่ยวต่อจิตใจอย่างถึงที่สุด....”
ผมมองเห็นประเด็นแห่งนัยสำนึกข้างต้นผ่านเรื่องราวแห่งความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตกับสัมผัสที่มีต่อดวงจันทร์ในลักษณะนี้มาช้านาน มันคือด้านหนึ่งของความเป็นส่วนตัวที่แฝงอยู่กับความโหยหาในการตั้งอยู่กับชีวิตว้าง....ผมเติบโตมาในยามเด็กขณะที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้..แสงแห่งจันทร์กระจ่างฟ้าจึงเป็นแสงงามแห่งค่ำคืนในการขจัดความหวั่นกลัวใดๆออกไป..ชีวิตมีรอยจำของความทรงจำเช่นนี้ไม่มากนักหรอก... รอยจำที่ทำให้ชีวิตมีความหมายต่อการสร้างสรรค์อันรื่นรมย์..เป็นเรื่องเล่าอันดีงามที่สร้างวัฒนธรรมสำนึกและการปรับแต่งตัวตนอันสมบูรณ์ในทางจิตวิญญาณ...มองเห็นด้วยผัสสะและเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของดวงใจด้วยความถึงพร้อมแห่งแรงปรารถนาที่ไม่จางหายและลืมเลือน....
“ดวงใจในดวงจันทร์” (THE MOON FORGETS)นิยายภาพ....ของ.. “จิมมี เลียว” (JIMMY LIAO)...ที่ทั้งผูกเรื่องราวและสร้างภาพแห่งการแสดงภาวะสำนึกที่ชวนประทับใจ อันมีดวงจันทร์เป็นแกนหลักในการนำดวงใจไปสู่ความเข้าใจของชีวิตที่เบิกบาน...หนังสือเล่มนี้ถือเป็นงานสร้างสรรค์ในยุคต้นของ จิมมี เลียว...ในปีสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่20 ค.ศ.1999.. สิบห้าปีล่วงมาแล้ว...มันอยู่ร่วมยุคร่วมสมัยกับหนังสือที่โด่งดังของเขาอย่าง....A CHANCE OF SUNSHINE หรือ SINGING JIMMY และก่อนหน้านั้นในปีเริ่มต้นแห่งการทำงานของเขา...ค.ศ.1998 อย่าง SECRETS IN THE WOOD และ A FISH THAT SMILED AT ME…ผมมักจะถามกับตัวเองอยู่เสมอว่า...รูปแห่งแบบที่ปรากฎเป็นหนังสือภาพของ จิมมี เลียว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากกว่า20ปี...ทำไมถึงได้รับความนิยมด้วยความรู้สึกแห่งใจมากมายนัก...หลายๆเรื่องประโยคถ้อยคำและภาพวาดบางภาพได้กลับกลายเป็นภาพจำที่ประจำใจอยู่กับคนๆนั้นอยู่ตลอดมาแม้กาลเวลาจะล่วงผ่าน..
“สิ่งที่มองเห็น สิ่งที่มองไม่เห็น สายลมฤดูร้อนพัดผ่านแผ่วเบา หายไปไร้ร่องรอยในพริบตา สิ่งที่จดจำ สิ่งที่หลงลืม ทิ้งไว้เพียงเงาไม้เลือนพร่า...ที่ส่ายไหวบนพื้นดิน”
ชีวิตของเราทุกคนอาจจะเคยคุ้นกับแสงสว่างอันเจิดจ้าและร้อนแรงของดวงตะวัน...เหตุผลสำคัญก็คือว่ามันอาจทำให้เราสามารถมองโลกแห่งชีวิตได้แจ่มชัดและไม่มีปริศนาที่พร่ามัวเกิดขึ้น....แต่ครั้นตกสู่วาระแห่งค่ำคืน...อะไรบางสิ่งในหัวใจของเราก็ทอดยาวไปสู่ภาวะของความมืดมนของชีวิตที่ต้องการนัยแห่งการมองเห็นในวิถีแห่งเจตนานี้...มีเงื่อนไขทางความรู้สึกที่ทบซ้อนกันอยู่ในรอยสัมผัส ...มันอาจจะชวนหวั่นกลัวในบางครั้งและชวนให้หาทางออกแห่งชีวิตด้วยความเพียรพยายามที่จะมองเห็น...นั่นคือต้นเหตุที่ว่า...มันมีความเป็นไปได้มากมายที่ชีวิตจักต้องมีโอกาสของโอกาสที่จะค้นพบตัวเองในยามที่ปรารถนาแสงแห่งการส่องสว่างเพื่อเปิดเผยตัวตนแห่งใจออกมาอย่างชัดเจน....จิมมี เลียว...สื่อสารบทตอนแห่งเจตนาของเขาด้วยตัวอย่างเหตุการณ์ของการเติมเต็มส่วนที่หายไปในชีวิต...ส่วนที่หายไปจากสัญชาตญาณอันแสนจะธรรมดาของชีวิต ซึ่งมีความโดดเดี่ยวอ้างว้างในความเป็นหัวใจของบางสิ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสถานการณ์อันแฝงอยู่ในหลืบลึกของมโนสำนึกทั้งหมด....จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันหนึ่งดวงจันทร์ได้หายลับไปจากฟากฟ้าในยามค่ำคืน...
“ทุกวันในยามย่ำค่ำ ผู้คนเฝ้ารออย่างกระสับกระส่าย แต่ดวงจันทร์ก็ไม่ลอยขึ้นฟ้ามาอีกเลย....กระแสคลื่นค่อยๆสงบลง ท้องทะเลนิ่งสนิทดูคล้ายกระจกเงาสีดำ..โลกทั้งไปเย็นเยียบเงียบเหงา....”
“ดวงใจในดวงจันทร์” เปิดเรื่องขึ้นด้วยนัยความหมายอันชวนแปลกต่างทางการรับรู้นี้...จู่ๆสิ่งบางสิ่งก็ลับหายจากเราไป...ทิ้งไว้แต่ความมืดมนที่ไร้บทสะท้อนสิ่งที่ควรมีและควรเป็น...กว่าจะรู้ว่าสิ่งบางสิ่งที่ถูกมองข้ามผ่านได้กลืนกลาย..กระทั่งเป็นความว่างเปล่าเสียแล้ว...ดวงใจของชีวิตก็เข้าสู่ภาวะแห่งความกวัดแกว่งและหลงทางอย่างไม่รู้ตัว มันส่งผลต่อสรรพสิ่งบนโลกนี้ที่จะต้องตอบคำถามแห่งชีวิตให้ได้ว่า...แสงอันอ่อนโยนที่เคยส่องทางเป็นนัยสะท้อนยามค่ำคืนนั้นหายไปไหน...
“ยานอวกาศที่กำลังจะร่อนลงเหยียบดวงจันทร์ พลันหลงทางกลางหมู่ดาว...ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน....” การลับหายไปของเป้าหมาย...ที่หลายคนอาจคิดว่ามันคือสิ่งที่สามารถควบคุมได้ไม่ยากคือบทเรียนสอนจริตที่ทำให้การรับรู้ในชีวิตของเรามีโอกาสที่จะสัมผัสกับความจริงแท้ท่ามกลางความมืดมนและหลงทาง....แท้จริงเราควรเห็นในสิ่งที่ควรเห็น สายตาแห่งดวงใจของเราย่อมต้องกะระยะประมาณแห่งทิศทางอันยอกย้อนได้ถูก และที่สำคัญมันย่อมไม่ทำให้ชีวิตต้องคลาดเคลื่อนออกไปจากตนเอง...ตราบใดที่เราต่างรู้สึกกับสิ่งที่สูญหายไปนี้ด้วยความรู้สึกแห่งใจ..ตราบนั้นความเป็นก้นบึ้งแห่งชีวิตก็จะแสดงบางสิ่งอันเหนือการควบคุมออกมาและนั่นคือเจตจำนงอันบริสุทธิ์ที่ดวงใจมิอาจปิดบัง ไม่ว่ามันจะแฝงไว้ด้วยเจตนาดั้งเดิมที่ร้ายหรือดีก็ตาม...
“นักวิทยาศาสตร์ต่างเศร้าโศกเจียนคลั่ง พระราชาทอดพระเนตรท้องฟ้าอย่างหมดหนทาง..ดั่งเด็กน้อยผู้สิ้นหวัง...ไม่มีใครรู้ว่าควรทำอย่างไร...โทรทัศน์รายงานข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่องดวงจันทร์หายตัวไป ความหวาดกลัวเรื่องวันสิ้นโลกแผ่กระจายไปทั่วพริบตา...”
แท้จริงดวงจันทร์เพิ่งจะหายไปจากการรับรู้ของผู้คน หรือมันได้ถูกลืมเลือนหายไปจากดวงใจของคนส่วนใหญ่ตั้งนานแล้ว อุปมาเหมือนดั่งความอ่อนโยนที่ส่องสะท้อนความแข็งกระด้างของชีวิตที่ค่อยๆเลือนหายไปจากสำนึกแห่งความผิดชอบชั่วดี...
“สิ่งที่มองไม่เห็น เท่ากับไม่มีตัวตนอยู่ใช่หรือไม่... บางทีอาจเพราะถูกบดบังโดยเมฆหนา... บางทีอาจเพราะบังเอิญลมพัดทรายเข้าตา ฉันมองเธอไม่เห็น แต่ยังสัมผัสได้ถึงไออุ่น”
จิมมี เลียว...สื่อภาพแสดงบทตอนสำคัญอันเป็นข้อพิสูจน์นี้ผ่าน โลกเฉพาะของเด็กน้อยผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการครอบครองดวงจันทร์เอาไว้ในดวงใจของเขา....ความบริสุทธิ์แห่งศรัทธาค่อยๆสอนสั่งให้เขามีจิตแห่งความเมตตาสรรค์สร้างความสุขให้แก่สิ่งที่มีค่าของชีวิต...นี่คือประเด็นอันมีความหมายที่ซ่อนลึกไว้อย่างแหลมคม
.. “ทำความสุขให้กับสิ่งที่มีค่าของชีวิต..” เป็นการกระทำที่ง่ายแสนง่ายโดยผู้กระทำไม่ต้องแบกรับความหม่นมืดอันหาทางออกไม่ได้เอาไว้กับตัว เมื่อมองไม่เห็นทางออกความกดดันก็ย่อมจะเกิดขึ้นกลายเป็นความขลาดกลัวไปอย่างเหลือเชื่อ. “เด็กชายห่อผ้าขนหนูฟูนุ่มให้พระจันทร์เอาไว้...เปิดโคมไฟเล็กๆให้ไออุ่นกอดเขาไว้ในอ้อมแขนพลางกล่อมไกวไปเบาๆ..ร้องเพลงให้ฟังอย่างอ่อนโยน บางครั้งก็พูดด้วย....ในที่สุดพระจันทร์ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ...แล้วเปล่งแสงระเรื่อ...อันน้อยนิดนั้นออกมา...”
ความผูกพันภายใต้อ้อมกอดอันอ่อนโยนของชีวิตก่อให้เกิดการเรียนรู้ในสัมผัสระหว่างกัน...ของดวงจันทร์กับดวงใจ...ตราบใดที่แสงสว่างบังเกิดความเรื่อเรืองอยู่กับความรับรู้ในรู้สึก ชีวิตก็ย่อมมีจุดเริ่มต้นที่จะคลี่คลายไปในวิถีที่จะค่อยๆเติบใหญ่ขึ้นสู่ความงดงามอันเป็นสัจจะของมัน...
จิมมี เลียวสร้างผลงานของเขาขึ้นมาด้วยวิสัยทัศน์ที่เต็มไปด้วยแง่มุมแห่งการมองโลกในแง่งามท่ามกลางสัญชาตญาณแห่งการเรียนรู้โลกของความจริง ด้วยการสดับรับฟัง...ด้วยการมองเห็นในส่วนที่ควรมองเห็น… ว่ากันว่าแท้จริง...ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนโดดเดี่ยวอยู่กับใจและมุ่งหวังถึงการค้นพบความเบิกบานในตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าบางขณะที่ชีวิตได้พลัดหลงกับความงดงามแห่งดวงใจของตนเอง....ชีวิตจึงต้องเผชิญหน้ากับการสั่นไหว กระทั่งสีสันของชีวิตที่มีอยู่ต้องคลายจางลง...เนื่องเพราะเราไม่อาจสร้างแสงสว่างอันนุ่มนวลออกมาจากข้างใน...สิ่งที่กลายเป็นปรากกการณ์สำนึกจึงมักจะเป็นความซ้ำซากที่มักจะหนีไม่พ้นไปจากความมืดดำที่จ่อมจมอยู่กับปฏิกิริยาของชีวิตอยู่เสมอ นั่นคือความจริงจังที่เป็นเสน่ห์แห่งตัวตนของ จิมมี เลียว ในโลกแห่งจินตนาการที่มีน้ำหนัก มากยิ่งกว่าความจริงที่เป็นจริงของเขา...
“ถึงเวลาเที่ยงคืน...พระจันทร์จะลอยขึ้นมาเอง โดยไม่ตั้งใจ...แต่เขาค่อนข้างกลัวความสูงแสงสว่างของเขาเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อยทุกๆวัน...เขาค่อยๆโตขึ้นอย่างช้าๆยามพระอาทิตย์ขึ้น...พระจันทร์จะหลับสนิทไม่ยอมตื่น แต่เมื่อพระอาทิตย์ลับลาไป พระจันทร์ก็จะส่องแสงสว่างไสว อย่างสดชื่น....”
โลกแห่งความผูกพันกลายเป็นฉากแห่งชีวิตอันสำคัญต่อดวงใจ ที่ จิมมี เลียวตั้งใจที่จะแสดงออกมาให้เห็นอยู่เสมอ มันคือโครงสร้างของความสุขที่มีชีวิตชีวาต่อจิตวิญญาณของสรรพสิ่งในทุกผู้ทุกวัยเสมอ...ชีวิตคือบทแสดงของสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นในความสุกสว่าง หรือในความมืดมนหม่นมืดใดๆ.. ขอเพียงแต่ชีวิตได้เรียนรู้ถึงมิติที่คู่ขนาน.. เรียนรู้โลกที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ด้วยทัศนเชิงอคติและด้วยเจตนาที่ไม่ไม่ได้หล่อหลอมออกมาจากดวงใจ....
“ดวงใจในดวงจันทร์”(THE MOON FORGETS)...คือวิถีแห่งการค้นพบความสงบงามทางใจที่ถูกหลงลืมไปอย่างสิ้นเชิง...ความหมายแห่งเรื่องราวทั้งหมดคือภาพสะท้อนกลับระหว่างดวงจันทร์กับดวงใจที่แสดงให้เห็นถึงเงาสะท้อนแห่งความเป็นตัวตนที่แท้ของกันและกัน...
ขณะที่โลกทั้งโลกเพิ่งจะผ่านพ้นการสัมผัสกับดวงจันทร์ดวงโตที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็นมาที่ได้แวะมาเยี่ยมเยือนเรา...ดวงใจที่เติบใหญ่ของมนุษย์กลับปรากฎให้เห็นน้อยลง....มันต่างล้วนตกอยู่ในความมืดที่มืดดำ..ต่างตกอยู่กับเสียงอันก้องดังที่ไร้สติและขาดความลึกซึ้งไม่สามารถที่จะสื่อสัมพันธ์กันได้ไม่ว่าจะเป็นในโลกแห่งรูปธรรมหรือนามธรรมใดๆก็ตาม....
“ในคืนที่ดวงจันทร์เริ่มรู้จักหมุนตัวกลางอากาศ ทั้งสองเต้นรำอยู่ตรงหน้าต่างตลอดทั้งคืน”...นั่นคือความทรงจำอันฝังจำที่มีส่วนย้อนย้ำให้เราได้เฝ้าใคร่ครวญถึงตัวตน...ที่อาจต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์อันยากจะเลี่ยงหลบอยู่อย่างนั้น...
“สิ่งที่จดจำไว้ จะไม่สูญหายไปตลอดกาลใช่หรือไม่... ความฝันที่เปราะบางดั่งฟองสบู่ที่ฉันปกป้อง ความสุขเพิ่งเริ่มต้น ความเศร้าก็ตามมาซ่อนตัวรออยู่แล้ว”
“อนุรักษ์ กิจไพบูลย์ทวี”...คือผู้แปลงานในลักษณะนี้ออกมาอย่างงดงามและลุ่มลึกเสมอ ภาษาที่ใช้ในการแปลความของเขาเป็นเหมือนดวงตาที่หยั่งลึกอยู่กับการมองเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ในเนื้อในแห่งสาระบทบาทเชิงสัญญะนั้นๆ...มันคือการแปลความที่ผ่านการตีความออกมาอย่างมีเจตจำนงของการอธิบายความและเปรียบเทียบความ...เห็นดวงจันทร์ในดวงใจ...และเห็นดวงใจในดวงจันทร์อย่างกระจ่างชัด ผ่านประตูกลแห่งประพันธกรรมที่ จิมมี เลียว...ได้สร้างเป็นกับดักดั่งหลุมพรางที่คาบเกี่ยวอยู่กับปรัชญาชีวิตที่สื่อนัยซ้อนอยู่ในความเป็นนัยนั้นๆอย่างแยบยลและเต็มไปด้วยมโนสำนึกแห่งตัวตน....ไม่ว่าจะเป็นภาพแสดงที่วาดแต่งสู่ความเป็นเรื่องราว..หรือ โครงสร้างเนื้อหาที่ถูกจัดวางต่อการเล่าเรื่อง..ทั้งหมดในสิ่งทั้งหมดมีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับสัญชาตญาณในธรรมชาติแห่งการเรียนรู้ในรับรู้เสมอ...มันเป็นทั้งบทเริ่มต้นและบทสรุปแห่งความหมายอันยอกย้อน..ในท่วงทำนองแห่งการแกะรอยรูปแห่งแบบของชีวิตด้วยการใช้ใจสัมผัสใจอย่างแท้จริง..เหตุนี้ทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจันทร์หรือดวงใจ..ในความหมายที่เป็นความหมายนี้ ล้วนอยู่ในเราและเป็นของเราเสมอ.....ตลอดๆไป…
“นับจากนี้ เมื่อเราเงยหน้าดูหมู่ดาวในยามที่สิ้นไร้คำพูด ก็จะมองเห็นเด็กน้อย...ที่ยืนยกดวงจันทร์เหลืองอร่ามสูงขึ้นกลางเมืองหลวง พร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้า....”